องค์ประกอบหลักและเทคโนโลยีเบื้องหลังสว่านไร้สายยุคใหม่

ในโลกของอุตสาหกรรมและงานช่าง นวัตกรรมได้เข้ามาพลิกโฉมเครื่องมือพื้นฐานให้ก้าวล้ำไปอีกขั้นหนึ่ง สว่านไร้สาย (Cordless Drill) คือหนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นของนวัตกรรมที่ผสานรวมเทคโนโลยีแบตเตอรี่, มอเตอร์, และระบบควบคุมเข้าด้วยกัน เพื่อมอบประสิทธิภาพและความสะดวกสบายที่เหนือกว่าสว่านมีสายแบบดั้งเดิม บทความนี้จะเจาะลึกถึงข้อมูลเชิงเทคนิคและศัพท์เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสว่านไร้สายยุคใหม่ เพื่อให้เห็นถึงความซับซ้อนและศักยภาพของเครื่องมือนี้

องค์ประกอบหลักและเทคโนโลยีเบื้องหลังสว่านไร้สายยุคใหม่

สว่านไร้สายไม่ได้เป็นเพียงแค่ด้ามจับ แบตเตอรี่ และหัวจับดอกสว่านเท่านั้น แต่ภายในประกอบด้วยระบบที่ซับซ้อนซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อให้ได้มาซึ่งประสิทธิภาพสูงสุด

1. เทคโนโลยีแบตเตอรี่ (Battery Technology)

หัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนสว่านไร้สายคือแบตเตอรี่ เทคโนโลยีได้พัฒนาจาก นิกเกิลแคดเมียม (NiCd) และ นิกเกิลเมทัลไฮไดรด์ (NiMH) สู่ยุคของ ลิเธียมไอออน (Li-ion) ซึ่งเป็นมาตรฐานในปัจจุบัน แบตเตอรี่ Li-ion มีข้อได้เปรียบที่สำคัญหลายประการ:

  • ความหนาแน่นพลังงานสูง (High Energy Density): ให้พลังงานที่มากกว่าในน้ำหนักและขนาดที่เล็กกว่า ส่งผลให้สว่านมีน้ำหนักเบาและกะทัดรัด
  • ไม่มี Memory Effect: ต่างจาก NiCd, แบตเตอรี่ Li-ion สามารถชาร์จซ้ำได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องรอให้แบตเตอรี่หมดเกลี้ยง ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งาน
  • อัตราการคายประจุต่ำ (Low Self-Discharge Rate): แบตเตอรี่สามารถเก็บประจุได้นานขึ้นเมื่อไม่ได้ใช้งาน
  • ระบบจัดการแบตเตอรี่ (Battery Management System – BMS): แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ซับซ้อนภายในแบตเตอรี่ ทำหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมอุณหภูมิ, แรงดันไฟฟ้าของแต่ละเซลล์ (Cell Balancing), กระแสไฟฟ้าเข้า-ออก เพื่อป้องกันการชาร์จเกิน (Overcharge), การคายประจุเกิน (Over-discharge), และกระแสไฟเกิน (Overcurrent) ซึ่งช่วยยืดอายุแบตเตอรี่และเพิ่มความปลอดภัย
  • แรงดันไฟฟ้า (Voltage – V): เป็นตัวบ่งชี้ถึงกำลัง (Power) ของสว่าน สว่านไร้สายมีแรงดันไฟฟ้าหลากหลาย ตั้งแต่ 12V, 18V (เป็นที่นิยมที่สุด), ไปจนถึง 36V หรือ 54V สำหรับงานหนัก แรงดันไฟฟ้าที่สูงขึ้นมักมาพร้อมกับกำลังที่มากขึ้นในการเจาะและขันสกรู
  • ความจุ (Amp-hour – Ah): บ่งบอกถึงระยะเวลาการใช้งานต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง แบตเตอรี่ที่มี Ah สูงกว่าจะใช้งานได้นานกว่า

2. มอเตอร์ (Motor Technology)

มอเตอร์เป็นส่วนที่แปลงพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ให้เป็นพลังงานกลในการหมุนหัวจับดอกสว่าน การพัฒนามอเตอร์มีผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพ:

  • มอเตอร์แบบมีแปรงถ่าน (Brushed Motor): เป็นมอเตอร์แบบดั้งเดิมที่ใช้แปรงถ่าน (Carbon Brushes) สัมผัสกับคอมมิวเตเตอร์ (Commutator) เพื่อจ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังขดลวด (Armature) ทำให้เกิดการหมุน ข้อเสียคือแปรงถ่านสึกหรอได้, เกิดประกายไฟ, และมีประสิทธิภาพต่ำกว่า
  • มอเตอร์ไร้แปรงถ่าน (Brushless Motor): เป็นนวัตกรรมที่สำคัญยิ่งในสว่านไร้สายยุคใหม่ ใช้แม่เหล็กถาวรและระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commutator) แทนแปรงถ่าน
    • ประสิทธิภาพสูงกว่า (Higher Efficiency): เนื่องจากไม่มีการเสียดสีจากแปรงถ่าน ทำให้แปลงพลังงานได้มีประสิทธิภาพสูงกว่า 50% หรือมากกว่า ลดการสูญเสียพลังงานในรูปของความร้อน
    • อายุการใช้งานยาวนานขึ้น (Longer Lifespan): ไม่มีชิ้นส่วนที่สึกหรออย่างแปรงถ่าน ทำให้มอเตอร์ทนทานกว่า
    • ขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบา (Compact & Lighter): ออกแบบได้เล็กลงและเบาลง
    • แรงบิดสูงขึ้น (Higher Torque): มักให้แรงบิดที่สม่ำเสมอและสูงกว่าในขนาดเดียวกัน
    • ควบคุมได้ละเอียดขึ้น (Finer Control): ระบบอิเล็กทรอนิกส์ช่วยให้ควบคุมความเร็วและแรงบิดได้อย่างแม่นยำ

3. ระบบส่งกำลังและหัวจับ (Drivetrain and Chuck)

  • ชุดเกียร์ (Gearbox): สว่านไร้สายมักมีชุดเกียร์หลายระดับ (เช่น 2-speed, 3-speed) เพื่อปรับอัตราส่วนการหมุนและแรงบิด (Torque) ให้เหมาะสมกับงานต่างๆ
    • ความเร็วต่ำ/แรงบิดสูง (Low Speed/High Torque): เหมาะสำหรับการขันสกรูหรือเจาะวัสดุแข็ง
    • ความเร็วสูง/แรงบิดต่ำ (High Speed/Low Torque): เหมาะสำหรับการเจาะไม้หรือโลหะบางๆ
  • คลัตช์ (Clutch): ระบบปรับแรงบิดที่สามารถตั้งค่าได้ เพื่อป้องกันการขันสกรูแน่นเกินไปจนหัวสกรูเสียหาย หรือดอกสว่านติดขัดในวัสดุ มักมีค่า Torque Setting เป็นตัวเลข
  • โหมดกระแทก (Hammer Mode): สำหรับสว่านกระแทกไร้สาย (Impact Drill/Hammer Drill) จะมีกลไกเพิ่มเติมที่สร้างแรงกระแทกตามแนวแกน (Axial Impact Force) ช่วยในการเจาะคอนกรีตหรืออิฐ กลไกนี้อาจเป็นแบบ กลไกเพอร์คัสชัน (Percussion Mechanism) สำหรับสว่านกระแทกขนาดเล็ก หรือ กลไกโรตารีกระแทก (Rotary Hammer Mechanism) สำหรับงานหนักที่ใช้ระบบลูกสูบ
  • หัวจับดอกสว่าน (Chuck): ส่วนที่ยึดดอกสว่านหรือดอกไขควง
    • หัวจับแบบไม่มีกุญแจ (Keyless Chuck): สามารถขันแน่นและคลายดอกสว่านได้ด้วยมือเปล่า สะดวกและรวดเร็ว
    • หัวจับแบบมีกุญแจ (Keyed Chuck): ใช้กุญแจขันเพื่อให้ยึดดอกสว่านได้แน่นเป็นพิเศษ เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูงหรือแรงบิดมหาศาล

ฟังก์ชันและคุณสมบัติอัจฉริยะ (Smart Features and Connectivity)

นวัตกรรมในสว่านไร้สายไม่ได้หยุดอยู่แค่ประสิทธิภาพพื้นฐาน แต่ยังรวมถึงคุณสมบัติอัจฉริยะที่ช่วยเพิ่ม Productivity และความปลอดภัย:

  • ไฟ LED ส่องสว่าง (Integrated LED Worklight): ส่องสว่างบริเวณที่ทำงานในที่แสงน้อย
  • ระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง (Advanced Electronic Control): ควบคุมการทำงานของมอเตอร์และแบตเตอรี่อย่างละเอียด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและป้องกันความเสียหาย
  • การเชื่อมต่อ Bluetooth/IoT (Bluetooth/IoT Connectivity): สว่านบางรุ่นสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่าน Bluetooth เพื่อ:
    • การปรับแต่งการตั้งค่า (Customizable Settings): ผู้ใช้สามารถปรับตั้งค่าความเร็ว, แรงบิด, หรือโหมดการทำงานผ่านแอปพลิเคชันได้ละเอียดกว่าปุ่มบนตัวเครื่อง
    • การติดตามสถานะแบตเตอรี่ (Battery Status Monitoring): ตรวจสอบสถานะการชาร์จ, อุณหภูมิ, และอายุการใช้งานของแบตเตอรี่
    • การบันทึกข้อมูล (Data Logging): บันทึกจำนวนการขัน/เจาะ, ระยะเวลาการใช้งาน เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพหรือการบำรุงรักษา
    • การระบุตำแหน่ง (Tool Tracking): ช่วยในการค้นหาเครื่องมือที่หายไปในสถานที่ทำงานขนาดใหญ่
  • ระบบป้องกันการสะท้อนกลับ (Kickback Control/E-Clutch): เซ็นเซอร์ตรวจจับการหมุนที่ผิดปกติ (เช่น เมื่อดอกสว่านติดขัด) และจะตัดการทำงานของมอเตอร์ทันที เพื่อป้องกันไม่ให้สว่านบิดกระชากผู้ใช้งาน ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
  • ด้ามจับตามหลักสรีรศาสตร์ (Ergonomic Design): การออกแบบที่คำนึงถึงการจับถือที่สบาย ลดความเมื่อยล้าและเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งาน

แนวโน้มในอนาคต

อนาคตของสว่านไร้สายจะยังคงมุ่งเน้นไปที่:

  • แบตเตอรี่ที่ทรงพลังและมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น: ด้วยเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่ที่ก้าวหน้ายิ่งขึ้น
  • การบูรณาการกับระบบนิเวศของเครื่องมือ (Tool Ecosystem Integration): แบตเตอรี่ชุดเดียวสามารถใช้ร่วมกับเครื่องมือไร้สายอื่นๆ ได้มากขึ้น
  • ความฉลาดที่เพิ่มขึ้น: การใช้ AI และ Machine Learning เพื่อปรับประสิทธิภาพของสว่านให้เหมาะสมกับวัสดุและงานโดยอัตโนมัติ

นวัตกรรมในสว่านไร้สายไม่ได้เป็นเพียงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ แต่เป็นการปฏิวัติวิธีที่เราทำงาน ทำให้งานช่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และเข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับทุกคน ตั้งแต่ช่างมืออาชีพไปจนถึงผู้ใช้งานทั่วไป การทำความเข้าใจศัพท์เฉพาะและเทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้เราสามารถเลือกและใช้งานสว่านไร้สายได้อย่างเต็มศักยภาพ

เรียบเรียงจาก : https://osukapowertool.com/

ความลี้ลับของสสารมืดและพลังงานมืด: ไขปริศนาสถาปนิกเร้นลับแห่งเอกภพ

ผ้าม่านแห่งความลึกลับที่ปกคลุมเอกภพ

ลองจินตนาการถึงจักรวาลที่เรามองเห็น ดวงดาวนับล้าน กาแล็กซีที่ส่องประกายระยิบระยับ ภาพที่สวยงามจับใจที่เราคุ้นเคยผ่านเลนส์ของกล้องโทรทรรศน์อันทรงพลัง แต่ถ้าสิ่งที่เรารับรู้ได้นั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ของความเป็นจริงทั้งหมดล่ะ? เบื้องหลังความงดงามที่เปิดเผย จักรวาลยังคงเก็บงำความลับอันยิ่งใหญ่ไว้สองประการ นั่นคือ สสารมืด (Dark Matter) และ พลังงานมืด (Dark Energy) สององค์ประกอบลึกลับที่ดูเหมือนจะบงการชะตากรรมของเอกภพทั้งหมด

ในห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่ เราพบกาแล็กซีมากมาย แต่ละแห่งประกอบด้วยดวงดาวนับพันล้านดวง ก๊าซ และฝุ่นคอสมิกที่เปล่งประกายแสงเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เรารับรู้ได้โดยตรงผ่านคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในสเปกตรัมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแสงที่มองเห็นได้ รังสีเอ็กซ์ หรือคลื่นวิทยุ ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ได้สร้างแบบจำลองของจักรวาลขึ้นมาโดยอิงจากองค์ประกอบเหล่านี้ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม สสารธรรมดา (Ordinary Matter) หรือสสารที่เราจับต้องได้

แต่แล้วภาพอันสมบูรณ์แบบนี้ก็เริ่มสั่นคลอน เมื่อการสังเกตการณ์ที่แม่นยำขึ้นเผยให้เห็นความผิดปกติบางอย่าง ดูเหมือนว่าแรงโน้มถ่วงที่เราสังเกตเห็นจากกาแล็กซีและกระจุกกาแล็กซีมีมากกว่าปริมาณสสารที่เรามองเห็นได้ ซึ่งนำไปสู่คำถามที่สำคัญ: มีบางสิ่งที่เรามองไม่เห็นกำลังออกแรงดึงดูดอยู่ใช่หรือไม่? และยังไม่หมดเพียงเท่านี้ การค้นพบที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นชี้ว่า จักรวาลของเรากำลังขยายตัวด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งท้าทายความเข้าใจเดิมๆ เกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงอย่างสิ้นเชิง ความไม่สมบูรณ์เหล่านี้บ่งบอกว่า ทฤษฎีที่เรามีอาจอธิบายความเป็นจริงได้เพียงส่วนน้อยเท่านั้น

สสารมืด: เงาที่มองไม่เห็นแต่ทรงพลัง

001 - Coma Cluster

Coma Cluster 

เรื่องราวของสสารมืดเริ่มต้นขึ้นในทศวรรษที่ 1930 เมื่อนักดาราศาสตร์ชาวสวิส Fritz Zwicky สังเกตการเคลื่อนที่ของกาแล็กซีในกระจุก Coma Cluster เขาพบว่ากาแล็กซีเหล่านั้นเคลื่อนที่เร็วเกินกว่าที่ควรจะเป็น หากมีเพียงมวลที่เรามองเห็นได้เท่านั้นที่อยู่ในกระจุกนั้น Zwicky เสนอว่าต้องมี “สสารที่มองไม่เห็น” จำนวนมหาศาลอยู่รอบๆ แต่แนวคิดนี้ก็ถูกมองข้ามไปพักใหญ่

จนกระทั่งในทศวรรษที่ 1970 Vera Rubin นักดาราศาสตร์หญิงผู้บุกเบิก ได้ให้หลักฐานที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เธอยืนยันว่าขอบนอกของกาแล็กซีหลายแห่ง หมุนเร็วเกินไป เมื่อเทียบกับมวลของดาวและก๊าซที่เราสังเกตได้ หากไม่มีมวลพิเศษที่มองไม่เห็นคอยยึดเหนี่ยวไว้ กาแล็กซีเหล่านี้ควรจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปนานแล้ว การค้นพบของรูบินได้เปลี่ยนความคิดของนักวิทยาศาสตร์ และ “สสารมืด” ก็เริ่มกลายเป็นแนวคิดที่ได้รับการยอมรับอย่างจริงจัง

กลุ่มกาแล็กซีที่ยึดเหนี่ยวกัน: แรงโน้มถ่วงปริศนา

นอกจากนี้ การสังเกตการณ์กระจุกกาแล็กซีขนาดใหญ่ยังแสดงให้เห็นถึง ปรากฏการณ์เลนส์โน้มถ่วง (Gravitational Lensing) ที่ผิดปกติ แสงจากกาแล็กซีที่อยู่ไกลออกไปถูกบิดเบือนอย่างรุนแรงเมื่อเดินทางผ่านกระจุกกาแล็กซีเหล่านี้ บ่งชี้ว่ามวลที่ก่อให้เกิดการบิดเบือนนั้นมีมากกว่ามวลของกาแล็กซีและก๊าซที่เรามองเห็นได้ทั้งหมด ยิ่งตอกย้ำถึงการมีอยู่ของมวลปริศนาที่มองไม่เห็นแต่มีอิทธิพลทางแรงโน้มถ่วงอย่างมหาศาล

สสารมืดแตกต่างจากสสารธรรมดาอย่างสิ้นเชิง คุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดคือมัน ไม่ดูดซับ ไม่สะท้อน หรือปล่อยแสง ในคลื่นความถี่ใดๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นแสงที่มองเห็นได้ รังสีเอ็กซ์ หรือคลื่นวิทยุ นี่คือเหตุผลที่เรา “มองไม่เห็น” มันโดยตรง

นอกจากนี้ สสารมืดยังมีปฏิสัมพันธ์กับสสารธรรมดาและแสงน้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วจะมีปฏิสัมพันธ์กันผ่านทาง แรงโน้มถ่วง เท่านั้น นี่คือสาเหตุที่การตรวจจับสสารมืดโดยตรงเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามันอาจประกอบด้วย อนุภาคชนิดใหม่ ที่ยังไม่เคยถูกค้นพบ ซึ่งมีปฏิสัมพันธ์กับอนุภาคอื่นๆ น้อยมาก ทำให้ยากต่อการตรวจจับด้วยเครื่องมือปัจจุบัน

รายชื่อปริศนา: ใครคือสสารมืดตัวจริงในแวดวงนี้ล่ะ

นักฟิสิกส์ได้เสนอชื่อมากมายสำหรับสสารมืด โดยแต่ละแนวคิดก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป

WIMPs (Weakly Interacting Massive Particles

WIMPs (Weakly Interacting Massive Particles): เป็นผู้ต้องสงสัยหลักๆ ณ ตรงนี้เลยทีเดียว

หนึ่งในชื่อที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ WIMPs หรืออนุภาคมวลมากที่มีปฏิสัมพันธ์อย่างอ่อน อนุภาคเหล่านี้หนักกว่าโปรตอนหลายเท่า แต่มีปฏิสัมพันธ์กับสสารธรรมดาเพียงผ่านทางแรงโน้มถ่วงและแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อนเท่านั้น ทำให้พวกมันสามารถไหลผ่านโลกเราได้อย่างอิสระโดยแทบไม่ชนกับสิ่งใดเลย

นอกจาก WIMPs แล้ว ยังมีอนุภาคสมมุติอื่นๆ อีกหลายชนิด เช่น Axions ซึ่งเป็นอนุภาคน้ำหนักเบาที่อาจเกิดขึ้นจากการแก้ปัญหาบางอย่างในฟิสิกส์อนุภาค รวมถึง Sterile Neutrinos ซึ่งเป็นนิวทริโนชนิดพิเศษที่ไม่ปฏิสัมพันธ์กับแรงใดๆ ยกเว้นแรงโน้มถ่วง และยังมีแนวคิดที่แปลกใหม่กว่านั้นอีกมากมาย

หลุมดำจากยุคดึกดำบรรพ์ มีความเป็นไปได้ที่ถูกนำกลับมาพิจารณา

ในช่วงแรก นักวิทยาศาสตร์เคยเสนอว่าสสารมืดอาจเป็น หลุมดำดึกดำบรรพ์ ที่ก่อตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นของจักรวาล แต่หลักฐานในปัจจุบันส่วนใหญ่ไม่สนับสนุนแนวคิดนี้มากนัก อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆ นี้ แนวคิดนี้ก็ถูกนำกลับมาพิจารณาอีกครั้งในบางสถาบัน

ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 นักดาราศาสตร์สองกลุ่มได้ทำการศึกษาการขยายตัวของจักรวาลโดยใช้ ซูเปอร์โนวาชนิด Ia (Type Ia Supernovae) ซูเปอร์โนวาเหล่านี้มีความสว่างมาตรฐานที่แน่นอน ทำให้สามารถใช้เป็น “มาตรวัดระยะทางมาตรฐาน” ในจักรวาลได้

ผลลัพธ์ที่ได้จากการสังเกตซูเปอร์โนวาเหล่านั้นกลับสร้างความประหลาดใจอย่างยิ่ง แทนที่จะพบว่าการขยายตัวของจักรวาลกำลังชะลอตัวลงเนื่องจากแรงโน้มถ่วง นักวิทยาศาสตร์กลับพบว่ามันกำลัง เร่งความเร็ว (accelerating) ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดและพลิกโฉมความเข้าใจเกี่ยวกับจักรวาลไปโดยสิ้นเชิง การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นถึงการมีอยู่ของบางสิ่งบางอย่างที่กำลังผลักจักรวาลให้ขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว และสิ่งนั้นคือ “พลังงานมืด”

พลังงานมืดแตกต่างจากสสารมืดตรงที่มันไม่ใช่ “อนุภาค” แต่เชื่อว่าเป็น พลังงานที่มีอยู่ในอวกาศว่างเปล่า ด้วยความดันเชิงลบ ทำให้มันมีผลตรงข้ามกับแรงโน้มถ่วง คือผลักให้จักรวาลขยายตัวออก

แนวคิดที่ง่ายที่สุดสำหรับพลังงานมืดคือ ค่าคงที่จักรวาล (Cosmological Constant) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ Albert Einstein เคยเสนอไว้ในสมการสัมพัทธภาพทั่วไปของเขาเพื่ออธิบายจักรวาลที่คงที่ (ก่อนที่จะทราบว่าจักรวาลกำลังขยายตัว) ค่าคงที่นี้แสดงถึงพลังงานพื้นฐานที่มีอยู่ในทุกๆ ตารางเมตรของอวกาศ และไม่เจือจางลงเมื่อจักรวาลขยายตัว

อีกแนวคิดหนึ่งคือ Quintessence ซึ่งเป็นสนามพลังงานรูปแบบหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลาและตำแหน่งในอวกาศ ซึ่งจะส่งผลให้การเร่งความเร็วของจักรวาลเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดประวัติศาสตร์ของเอกภพ แนวคิดนี้มีความซับซ้อนกว่าค่าคงที่จักรวาล แต่ก็เปิดโอกาสให้มีพฤติกรรมที่หลากหลายมากขึ้น

อนาคตของจักรวาล: เมื่อพลังงานมืดครองอำนาจ

ชะตากรรมของจักรวาลขึ้นอยู่กับธรรมชาติและปริมาณของพลังงานมืด หากพลังงานมืดเป็นค่าคงที่จักรวาล การขยายตัวก็จะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วไม่มีที่สิ้นสุด นำไปสู่สถานการณ์ที่เรียกว่า “Big Freeze” หรือ “Heat Death” ซึ่งจักรวาลจะขยายตัวจนทุกสิ่งทุกอย่างเย็นยะเยือกและแยกจากกันจนไม่เหลือปฏิสัมพันธ์

002 - Big Rip, Big Crunch, Big Freeze

Big Rip, Big Crunch, Big Freeze มีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน

ในบางทฤษฎี หากพลังงานมืดมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อาจนำไปสู่ “Big Rip” ซึ่งแรงผลักดันจะฉีกทุกสิ่งทุกอย่างออกจากกัน แม้กระทั่งอะตอม ในทางกลับกัน หากพลังงานมืดอ่อนแอลงหรือหายไป จักรวาลอาจกลับมาหดตัวลงในที่สุด นำไปสู่ “Big Crunch” อย่างไรก็ตาม การสังเกตการณ์ในปัจจุบันส่วนใหญ่สนับสนุนแนวคิด Big Freeze มากที่สุด

ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ใดก็ตาม ผลลัพธ์ที่น่าจะเกิดขึ้นคือ จักรวาลจะขยายตัวต่อไปอย่างรวดเร็ว กาแล็กซีต่างๆ จะเคลื่อนที่ห่างออกไปจากเราด้วยความเร็วที่สูงกว่าแสง ทำให้ในอนาคตอันไกลโพ้น เราจะมองไม่เห็นกาแล็กซีอื่นใดอีกเลย นอกจากกาแล็กซีของเราเอง กลายเป็นจักรวาลที่โดดเดี่ยวอย่างแท้จริง

การไขปริศนาสสารมืดและพลังงานมืดจำเป็นต้องใช้ทั้งการทดลองที่ละเอียดอ่อนและการสังเกตการณ์จักรวาลในวงกว้าง นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังทำงานอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อตามล่าหาคำตอบ

เพื่อตรวจจับสสารมืดโดยตรง นักวิทยาศาสตร์ได้สร้างห้องทดลองขนาดใหญ่ไว้ลึกใต้ดินหลายร้อยเมตรเพื่อป้องกันสัญญาณรบกวนจากรังสีคอสมิก โดยมีเป้าหมายที่จะตรวจจับการชนกันที่หายากยิ่งระหว่างอนุภาคสสารมืดกับอนุภาคสสารธรรมดาในเครื่องตรวจจับพิเศษ

LUX-ZEPLIN (LZ)  กับ XENONnT ยักษ์ใหญ่แห่งการค้นหา

โครงการอย่าง LUX-ZEPLIN (LZ) ในสหรัฐอเมริกา และ XENONnT ในอิตาลี เป็นเครื่องตรวจจับที่ใหญ่ที่สุดและละเอียดอ่อนที่สุดในโลก ซึ่งบรรจุซีนอนเหลวจำนวนมากเพื่อเพิ่มโอกาสในการตรวจจับอนุภาค WIMPs แม้จนถึงปัจจุบันยังไม่พบหลักฐานโดยตรง แต่ข้อมูลที่ได้ก็ช่วยจำกัดคุณสมบัติของอนุภาค WIMPs ลงอย่างมาก

กล้องโทรทรรศน์อวกาศและภาคพื้นดิน: การสำรวจจักรวาลในวงกว้าง

นอกจากแนวทางทดลองแล้ว นักฟิสิกส์ทฤษฎียังคงพัฒนาแนวคิดใหม่ๆ ที่อาจอธิบายความลึกลับเหล่านี้ได้ หากฟิสิกส์มาตรฐานไม่สามารถให้คำตอบที่สมบูรณ์ได้

MOND ทางเลือกที่ไม่ต้องมีสสารมืด

MOND

ทฤษฎี MOND (Modified Newtonian Dynamics) เสนอแนวคิดที่ว่ากฎของแรงโน้มถ่วงอาจเปลี่ยนแปลงไปในระดับแรงโน้มถ่วงที่อ่อนมาก ซึ่งอาจอธิบายการหมุนของกาแล็กซีได้โดยไม่ต้องอาศัยสสารมืดเลย อย่างไรก็ตาม MOND ยังมีข้อจำกัดในการอธิบายปรากฏการณ์อื่นๆ ในระดับที่ใหญ่ขึ้น เช่น ในกระจุกกาแล็กซี

ความท้าทายสูงสุดคือการพัฒนา ทฤษฎีแรงโน้มถ่วงควอนตัม ที่สามารถรวมแรงโน้มถ่วงเข้ากับกลศาสตร์ควอนตัมได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับธรรมชาติของเวลา อวกาศ และพลังงานที่อาจไขปริศนาสสารมืดและพลังงานมืดได้ในที่สุด

ความสวยงามของความไม่รู้และก้าวต่อไปของวิทยาศาสตร์

สสารมืดและพลังงานมืดเป็นสองความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในฟิสิกส์สมัยใหม่ พวกมันประกอบกันเป็นประมาณ 95% ของจักรวาล ที่เรารู้จัก แต่เรากลับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับพวกมันน้อยมาก อย่างไรก็ตาม ความไม่รู้ในครั้งนี้ไม่ได้เป็นอุปสรรค แต่กลับเป็นแรงผลักดันให้วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าไปอีกขั้น

การตามล่าหาคำตอบไม่ได้เป็นเพียงการค้นพบสิ่งใหม่ แต่เป็นการขยายขอบเขตความเข้าใจของมนุษย์เกี่ยวกับความเป็นจริง เปิดเผยความงามของจักรวาลที่ซับซ้อนและลึกซึ้งกว่าที่เราเคยจินตนาการไว้มาก ไม่ว่าคำตอบสุดท้ายจะเป็นเช่นไร การเดินทางเพื่อไขปริศนาสถาปนิกเร้นลับแห่งเอกภพนี้ จะนำพาเราไปสู่ยุคใหม่ของฟิสิกส์ดาราศาสตร์อย่างแน่นอน

 

Cross Section Skin

ไขความลับ Ulthera กระชับหน้าอย่างไร? กับศาสตร์ชีววิทยาอันน่าทึ่ง

Ulthera หรือถ้าเอาภาษาแบบเข้าใจง่าย ๆ เลยคือ การกระชับใบหน้า แน่นอนว่ามันคือเทคโนโลยีความงามอย่างหนึ่งที่ทันสมัยเป็นอย่างมาก ณ ปัจจุบันเลย เพราะว่ามันคือการกระชับใบหน้าเราด้วยคลื่นความถี่หนึ่งที่เป็นพระเอกของวงการนี้ก็คือ Ultrasound มาใช้งานในด้าน Ulthera แต่ถึงอย่างไร Ulthera ถือเป็นทฤษฎีที่ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียวเลยครับ เพราะในความเป็นจริงเพียงแค่คลื่น Ultrasound มันสามารถทำให้หน้าของเรากระชับได้โดยที่เราไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องเสียเวลาฟื้นฟู และไม่ส่งผลในเชิงลบต่อร่างกายของเราอีกด้วย แล้วมันทำได้อย่างไร? ผมมีคำตอบครับ

 

ก่อนอื่นเรามาเข้าใจหลักการของ Ulthera กันดีกว่าครับว่าขั้นตอนมันเป็นอย่างไร การทำ Ulthera จะเป็นการส่งคลื่นที่มีความถี่สูงด้วย Ultrasound ไปยังชั้นใบหน้าที่ทำการผลิตคอลลาเจนซึ่งก็เป็นโปรตีนที่เกิดจากการสังเคราะห์ขึ้นมาเองในร่างกายเรา ทำให้ร่างกายของเรามีผิวหน้าที่แข็งแรงและยืดหยุ่น รวมถึงใบหน้าเราเช่นกันครับ โดย Ultrasound มันจะไปกระตุ้นคอลลาเจนให้มันผลิตออกมาเองนั่นแหละครับ และมันยังสามารถสร้าง Image ของผิวหน้าเราให้เป็นแบบ Real time เพื่อให้แพทย์สามารถวิเคราะห์การ Ulthera ได้อย่างราบรื่น และที่ผมกล่าวมาทั้งหมด ไม่เกิดอันตรายต่อผิวหนังของเราเลย แต่ถ้าเราลองวิเคราะห์ไปอีกซักนิดทุกคนก็คงจะสงสัยกันใช่มั้ยครับว่า ทำไมมันถึงง่ายขนาดนี้ เอาจริง ๆ ผมขอบอกเลยครับว่ากว่าจะได้เทคโนโลยีนี้มามันไม่ง่ายหรอกครับ ซึ่งผมก็มีทฤษฎีต่าง ๆ มาให้ทุกคนวิเคราะห์กันครับว่าทำไม Ulthera มันถึงไม่ง่าย แล้วคุณจะได้รู้ถึงความมหัศจรรย์ของร่างกายของเราอีกด้วย

ultherapy after 360 days

 

การส่งพลังงานไปยังชั้นผิวที่ลึกแบบเฉพาะเจาะจง

จากที่ผมบอกไปครับว่า Ulthera ใช้พลังงาน Ultrasound ในการทำงานเป็นหลัก เนื่องจากมันจะส่งความร้อนไปยังชั้นผิวหนังที่ลึกลงไป โดยส่วนนั้นจะเรียกว่า SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นใต้ผิวหนังที่สำคัญในด้านการยกกระชับหน้า ชั้น SMAS มันจะทำหน้าที่เหมือนโครงสร้างค้ำจุน (scaffold) ให้กับผิวหนัง ซึ่งเมื่อ SMAS หย่อนคล้อยลง จะทำให้ผิวหนังบนใบหน้าดูหย่อนยาน โดยคลื่น Ultrasound จะกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงในเนื้อเยื่อของ Dermis (ชั้นหนังแท้) และ SMAS ทำให้มันช่วยฟื้นฟูโครงสร้างของผิวในระดับที่ลึกลงไปด้วยพลังงานความร้อนของ Ultrasound นั่นเอง

 

แต่ก่อนจะไปยังทฤษฎีต่อไปผมขอขยายความในเรื่องของส่วนประกอบของเซลล์ผิวหนังในใบหน้าของเรานิดหน่อยครับ ตัวละครหลักมันจะมีอยู่ 3 ตัวด้วยกันคือ

  • SMAS (ชั้นเนื้อเยื่อใต้ผิว),
  • Dermis (ชั้นหนังแท้) และ
  • Epidermis (ชั้นผิวหนังนอก)

โดยการ Ulthera จะโฟกัสไปที่ SMAS เป็นหลัก ซึ่งชั้นที่ Ulthera โฟกัสมันจะไปกระชับโครงสร้างของผิวของใบหน้าของเรา ส่วน Dermis มันจะเป็นชั้นนอกของ SMAS เป็นชั้นที่มีเซลล์สร้างคอลลาเจนและอีลาสติน เมื่อคลื่ Ultrasound วิ่งผ่านจะทำให้เกิดการฟื้นฟูและยกกระชับใบหน้าของเาได้มากขึ้นอีก ส่วน Epidermis พลังงาน Ultrasound จะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงกับผิวชั้นนี้เลย ทำให้ไม่เกิดบาดแผลภายนอกระหว่างที่ Ulthera ครับ

กระบวนการสร้างคอลลาเจนของใบหน้า

ก่อนหน้าที่จะค้นพบว่า Ulthera จะกระตุ้นคอลลาเจนทำให้ใบหน้าเต่งตึงนั้น ก็ต้งมารู้กันก่อนว่าคอลลาเจนมันมีวิธีการสร้างอย่างไร คอลลาเจนมันจะเป็นโปรตีนโครงสร้างหลักของผิวหนังที่ช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่น ซึ่งเมื่ออายุของเราเริ่มมากขึ้น ความกระชับใบหน้าของเราก็จะค่อย ๆ เสื่อมสลายไป การสร้างคอลลาเจนใหม่จะช่วยชดเชยการเสื่อมสลายนี้ให้กับเราโดยการที่ร่างกายของเราจะรับรู้ว่าบริเวณนั้นเกิดการบาดเจ็บเล็กน้อย และส่งสัญญาณให้เซลล์ Fibroblasts (เซลล์ที่สร้างคอลลาเจน) ทำงาน ทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ในชั้น Dermis และ SMAS และนี่ก็เป็นสาเหตุที่มีการค้นพบว่า Ultrasound มันตอบโจทย์เรื่องนี้ในการ Ulthera ที่แท้จริงครับ

 

Skin Aging

แน่นอนครับว่าของทุกสิ่งทุกอย่างล้วนค่อย ๆ สลายไปตามกาลเวลา ร่างกายของเราก็เช่นกันครับ เมื่อเราอายุมากขึ้น สิ่งที่มันจะกระทบใบหน้าของเราก็คือชั้นไขมันใต้ผิวหนังจะลดลง คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสลาย และการไหลเวียนโลหิตในผิวหนังลดลง กระบวนการพวกนี้เป็นผลมาจากการทำงานของเซลล์ในร่างกายที่ลดลงเมื่ออายุมากขึ้น แต่ถึงอย่างไรการ Ulthera มันจะมาช่วย Hack ชีวิตของคุณด้วยการใช้พลังงาน Ultrasound เพื่อฟื้นฟูการทำงานของเซลล์โดยกระตุ้นให้เกิดการซ่อมแซมและเสริมสร้างเนื้อเยื่อใหม่ได้ และช่วยยับยั้ง Skin Aging ได้เป็นอย่างดีเลย

Wound Healing

ถือเป็นผลข้างเคียงของการยับยั้ง Skin Aging ก็คือเมื่อ Ultrasound มันช่วยฟื้นฟูร่างกายของคุณแล้ว มันจะเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูธรรมชาติของร่างกายหรือก็คือ Wound Healing นั่นแหละครับ มันจะซ่อมแซมจุดที่ถูก Ultrasound กระตุ้นโดยระหว่างกระบวนการนี้ เซลล์และโปรตีนสำคัญ เช่น Growth Factors และ Cytokines จะถูกกระตุ้นให้ทำงาน ก็เหมือนกับการรักษาแผลทั่วไปเลยครับ

 

เทคโนโลยีสำหรับการ Ulthera

สุดท้ายสิ่งที่ขาดไปไม่ได้ก็คือเทคโนโลยี การ Ulthera จะใช้ AI/ML ในการเทรนข้อมูลเพื่อหาสเปคที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการ Ulthera ออกมา ซึ่งการเทรนจะต้องนำข้อมูลจำนวนมากเข้าสู่การ Data Analytics เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลออกมาให้แม่นยำ

จากที่ผมได้เขียนทฤษฎีการ Ulthera จะสังเกตได้เลยใช่มั้ยครับว่ามันจะเพ็งเล็งไปที่คอลลาเจนเป็นหลักให้มันกระตุ้นออกมาเองด้วยคลื่น Ultrasound แต่ถึงอย่างไรอย่าลืมนะครับ Ulthera จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่สำคัญจริง ๆ เพื่อให้ผลลัพธ์สามารถบรรลุได้ ก่อนที่ Ulthera จะถูกใช้อย่างแพร่หลาย มีการทดสอบในห้องปฏิบัติการโดยใช้ Biological Models เช่น การเลียนแบบเนื้อเยื่อผิวหนังมนุษย์ เพื่อศึกษาโครงสร้างของผิวหนังและการตอบสนองต่อพลังงาน Ultrasound การวิเคราะห์ข้อมูลผิวหนังโดยใช้ Imaging และ Machine Learning ถือเป็นแก่นหลักในการคาดการณ์ผลลัพธ์และปรับปรุงประสิทธิภาพการรักษาเป็นอย่างดี ระบบนี้จะช่วยสร้างระบบจำลองที่ทำให้การพัฒนาเครื่องมือมีความแม่นยำยิ่งขึ้นสำหรับการ Ulthera รวมถึงต้องไม่มีการใช้สารเคมีหรือวัสดุแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายโดยเด็ดขาด

 

ขอขอบคุณ V Square Clinic : หัวข้อ Ulthera

แหล่งสืบค้นข้อมูล : https://onlinelibrary.wiley.com/doi/full/10.1111/jocd.16658

https://www.tandfonline.com/doi/full/10.2147/CCID.S144282

https://link.springer.com/chapter/10.1007/978-3-031-69091-4_24

 

Grationality เหตุผล หลักการ แก่นนักพนันรวมกันในหนึ่งเดียว

ถ้าให้ผมเดาอะไรซักอย่างกับทุกคนที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ ผมเชื่อว่าทุกคนคงจะรู้จักกับคำว่าเหตุผลกันใช่มั้ยครับ คำว่าเหตุผลสำหรับผมมันเป็นคำที่ค่อนข้างทรงพลังทีเดียวครับ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเราล้วนดำเนินด้วยเหตุผล การพนันก็เช่นกันครับ ในความเป็นจริงภายในแก่นของการพนันมันมีหลักวิทยาศาสตร์ของเหตุผลอยู่ ซึ่งในวงการพนันเขาเรียกมันว่า Grationality นั่นเองครับ

 

คำว่า Grationality ถ้าเราใช้กับวงการพนันเราจะเรียกว่าการใช้เหตุผลในการเดิมพัน ผมจะขอยกตัวอย่างการเดิมพันแบบธรรมดา ๆ ให้ดูกันครับ สมมติว่า Trader ที่มีเงินทุน 1,000 บาท ณ เวลาที่ผมเซตไว้ที่ 0 ต้องมาเจอกับโอกาสการเดิมพันแบบอิสระซึ่งจะต้องจ่ายเงินเป็นจำนวน 1 เท่าด้วยความน่าจะเป็น p > 0.5 และจำนวน -1 เท่าด้วยความน่าจะเป็น q = 1-p การเติบโตของเงินลงทุนระยะยาวที่ดีที่สุดจะเกิดจาก Fraction อยู่ที่ f = p-q สำหรับการเดิมพันในแต่ละโอกาส แต่ที่ผมกล่าวมานี้ผมยกตัวอย่างในกรณีที่ Drawdown มีขนาดที่ใหญ่มาก หรือก็หมายถึงกรณีที่คุณต้องมาเบิกเงินมาจำนวนเยอะ ๆ เพื่อนำมาเข้าวงการการพนัน

 

การเบิกเงินมาเยอะเพื่อมาพนัน มันก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ซักเท่าไหร่สำหรับนักลงทุนหรือ Trader เลย

 

ทีนี้เขาก็เลยต้องแก้ปัญหาด้วยการคิดหลัก Grationality ขึ้นมา ซึ่งเบื้องต้นเขาจะให้ทางเลือกกับเรามาก่อนครับว่าปัญหาของคุณสอดคล้องกับที่ผมยกมารึป่าว อย่างแรกคือแม้ว่าความน่าจะเป็นอันเล็กน้อยที่ตลาดมีการพัฒนาเพื่อทำให้ระบบไม่มีผลกำไรก็สามารถสร้างแรงจูงใจให้เลิกกิจการในระหว่าง Drawdown ได้ หรือพวกขี้งกนั่นแหละครับ อย่างที่สองคือบุคคลที่มีปัญหาเรื่องการจัดการเงินทุนจะต้องทำให้ทางผู้ค้าหรือองค์กรของวงการพนันรู้ด้วย มันก็จะทำให้เกิดปัญหาเรื่องสภาพคล่องได้ ทำให้หลักการ Grationality ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ Warren Buffet นักลงทุนที่มีชื่อเสียงระดับโลกเลือกที่จะไปลงทุนกับกองทุนปิดเพื่อหลีกหนีปัญหาพวกนี้ครับ

 

แต่ถ้าเอาจริง ๆ ณ ปัจจุบันก็ยังมีความโชคดีบางอย่างที่เขาสร้างวิธีควบคุม Drawdown ที่ชัดเจนมากขึ้น ตามหลัก Grationality เขากำหนดให้เราหาค่า f ที่อยู่ใน fraction ที่เราคาดการณ์หรือประเมินไว้ให้สูงที่สุด และต้องเป็นตอนที่ความน่าจะเป็น ณ ตอนนั้นไม่มากกว่าค่า u หรือค่าที่เกิด Drawdown แบบสูญเสีย เราก็จะได้ค่าตัวแปรในรูปแบบ X = {X1, X2, X3, …} เสร็จแล้วแยกกรณีเป็น 2 เคส เคสแรกคือตอนที่ X มีค่าเป็น 1 ให้ค่าความน่าจะเป็นคือ p ส่วนอีกเคสให้ตอนที่ X มีค่าเป็น 0 ให้ค่าความน่าจะเป็นคือ 1-p พอแยกเสร็จแล้วและให้ค่า X เสร็จแล้ว ให้กำหนดฟังก์ชัน G(f;X,n) เป็นอัตราการเติบโตในเงินทุนด้วยการเดินพัน n ครั้ง แล้วให้เงินทุนเริ่มต้นเป็นตัวแปร W0 พอเราได้ตัวแปร W0 แล้วก็ถึงเวลาแยกกรณีกันครับคือ กรณีแรกเป็น Worst Loss Function สำหรับบันทึกการสูญเสีย

 

สัมพัทธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ณ เวลานั้นตามความหมายเลยโดยให้ค่า W0 เป็นเงินทุนตั้งต้นของเรา และอีกกรณีหนึ่งคือ Peak to Trough Drawdown loss function ตัวนี้ก็จะคล้ายกับ Worst Loss Function แต่เป็นการบันทึกการสูญเสียสัมพัทธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากจุดสูงสุดก่อนหน้าจนถึงเวลา n หรือก็คือเวลาที่เราคาดว่าจะเดิมพันเสร็จสิ้นนั่นเองครับ

 

ด้วยวิธีการคำนวณค่า Grationality ทำให้ค่า Fraction ของการเดิมพันได้ค่าที่เหมาะสมที่สุดในการสร้าง Grationality ให้ชนะตลาดได้

 

พอเราได้ค่า Grationality ออกมาจะทำให้เราได้สูตร Linear regression ได้แล้วนั่นคือ L(W, n) = D(W, n) เราจะเรียกหลักการนี้ว่า Brownian motion หรือทฤษฎีบราวเนียน เขาได้นิยามไว้ว่าหลัก Linear regression นี้เขาเอาไว้คัดแยกราคาของการเดิมพันที่มันเกิดไม่ต่อเนื่อง หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ การเดิมพันที่สามารถออกผลลัพธ์ที่หลากหลายเกินไปที่จะเก็บสถิติได้ครับ โดยทฤษฎีบราวเนียนที่ถูกคิดค้นมานี้ต้องขอขอบคุณ Klass & Nowicki ที่ช่วยคิดค้นสูตร Grationality ให้กับเรา ณ ปี 2005 ด้วย เพราะเขาสามารถเค้นให้เห็นถึงวิธีแก้ไขปัญหาในตลาดพนันได้ แต่อาจจะไม่การันตีว่ามันจะดีที่สุดนะครับ เพราะเมื่อไม่ผ่านมานี้เอง เราได้บังเอิญพบกับ Grossman-Zhou Solution ที่เป็น Algorithm สำหรับการช่วยประกันภัยให้กับ Portfolio ในด้าน Grationality ได้ ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดจากทฤษฎีก่อนหน้านี้เลยก็คือ เขาได้สรุปว่าการเดิมพันในโลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้รับผลกำไรได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอนตามหลัก Gain พื้นฐาน อีกเรื่องหนึ่งก็คือการเดิมพันส่วนใหญ่ (ขอรวมไปถึงการลงทุนทั้งหมดเลย) มักจะเกิดในตลาดประมูลประเภทต่อเนื่องที่อนุญาตให้มีการซื้อขายได้ตลอดเวลาในสถานที่จัดงาน ก็ถือเป็นการเปิดโลกให้กับนักพนันได้ แล้วเขาได้ Addition ไปอีก 2 ข้อก็คือระบบพนันหลายระบบเขาเดิมพันกันด้วยจำนวนครั้งที่แตกต่างกันแปรผันตามจำนวนวันของการเดิมพัน และข้อสุดท้ายคือการเดิมพันมักจะเป็นส่วนหนึ่งของ Portfolio การเดิมพันของเราอย่างแน่นอน

 

สูตร การพนัน

 

จากที่ผมอธิบายมาทั้งหมดถ้าเอาตามตรงแล้ว ผมสามารถสรุป Formula ออกมาเพียงไม่กี่บรรทัดเท่านั้นตามรูปที่แปะไว้เลยครับ

 

Reference: https://www.researchgate.net/publication/314208041_Why_Markets_Are_Inefficient_A_Gambling_Theory_of_Financial_Markets_for_Practitioners_and_Theorists

 

 

สร้าง Roadmap ดั่งนักพนันมืออาชีพด้วย The Fundamental Laws of Gambling (FLOG)

ผมขอถามทุกคนก่อนครับว่า ในทุกวันนี้คุณยังคิดว่าการพนันเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งหรือไม่? แน่นอนครับว่า เสียงจะแตกออกเป็น 2 เสียง จะมีทั้งนำพาเราจนลงกับรวยขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็คงจะคิดกันว่าการพนันทำให้คนจนลงเพราะมันต้องใช้แต่ดวง ซึ่งในความเป็นจริงเขามีวลีบอกกันมาแบบนี้ครับ

 

นักพนันที่ดีจะทำให้ตัวเองรวยได้ ส่วนนักพนันที่ไม่ดีจะล้มละลาย

ดังนั้นผมขอให้คุณทุกคนปรับเปลี่ยนความคิดกันก่อนครับว่า นักพนันไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตแบบรถไฟเหาะ เพราะนักพนันมืออาชีพเขายึดหลัก The Fundamental Laws of Gambling หรือว่า FLOG นั่นเอง ทีนี้พอเรามีความเชื่อแบบนักพนันมืออาชีพเรียบร้อยแล้วด้วยหลัก FLOG เรามาเข้าเรื่องกันครับ

ในความเป็นจริงหลัก The Fundamental Laws of Gambling มันก็คือหลักพื้นฐานเบื้องต้นที่นักพนันมืออาชีพพึงมีนั่นเองครับ ผมก็จะให้หลักปฏิบัติของมันคร่าว ๆ ก่อนครับก็คือ จงคำนึงถึงกฎพื้นฐานในการใช้ชีวิต อย่าเดิมพันเว้นแต่ว่าคุณกำลังชิงความได้เปรียบต่อเรื่องนั้น ๆ และถ้าคุณกำลังเดินพันท่ามกลางความได้เปรียบ ขอให้คุณเข้าถึงหลักคณิตศาสตร์ซักนิดครับ ให้คุณเลือกเศษส่วนของเงินทุนของคุณเทียบกับเงื่อนไขที่คุณสูญเสียหรือขาดทุนและเงื่อนไขผลตอบแทนขั้นต่ำ ถ้าดูแค่ข้อความอาจจะงง งั้นผมจะขอเขียนสูตรให้คุณได้รับชมครับ

 

การเดิมพัน = เงินทุนที่คูณมี / จำนวนการสูญเสียหรือขาดทุนสูงสุดที่เป็นไปได้ + ผลตอบแทนขั้นต่ำ

การนำหลักคณิตศาสตร์นี้ไปใช้จะช่วยให้คุณสามารถเดิมพันได้อย่างที่นักพนันมืออาชีพเขาทำกัน แต่ถึงอย่างไรแล้วขอให้คุณทำการประมาณการคร่าว ๆ พอครับ เพื่อที่จะสามารถคำนวณความเสี่ยงของคุณได้ครับ

 

จริง ๆ เหตุผลที่มันมีหลักการนี้ขึ้นมาก็เพราะเอาไปใช้กับการวิเคราะห์ระบบการพนันต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องครับ นอกจากนี้สูตรที่ผมได้หยิบยกขึ้นมามันสามารถเอาไปใช้กับการลงทุนอะไรก็ได้ อย่างเช่นตัวอย่างที่ผมจะหยิบยกขึ้นมาถูกคิดค้นโดย Moffitt เขาได้สมมติเหตุการณ์สุ่มเหรียญหัวก้อยที่ความเป็นจริงมีความน่าจะเป็นอยู่ที่ p > 0.5 ส่วนการเกิดหน้าก้อยอยู่ที่ q = 1 – p เขาทำการพลิกซ้ำ ๆ ไปเรื่อย ๆ แล้วเขาได้เห็นว่าความเป็นอิสระการของสุ่มพลิกในแต่ละครั้งจะมีเศษส่วนของความมั่งคั่ง ณ ปัจจุบันจะถูกเดิมพันอยู่ที่อัตราต่อรอง d > 03 เขาก็เลยสรุปว่าค่าความมั่งคั่งหลักจากการพลิกเหรียญคือ 1+df หรือ 1-f เท่าของค่าความมั่งคั่งเริ่มต้น

 

ถ้าเราจะอิงค่าความมั่งคั่งตามตัวอย่างที่ผมหยิบมา มันสามารถสื่อได้ว่าถ้าจำนวนเดิมพันอยู่ที่ p > 1/(1+d) จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุดสำหรับกลยุทธ์ที่ประกอบด้วยการเดินพันทุกอย่างในแต่ละครั้ง แต่อย่างไรก็ตามถ้าคุณสร้างการเดิมพันเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ก็มีสิทธิ์ที่ทำให้โอกาสชนะการเดิมพันมีน้อยลงได้ แม้แต่มืออาชีพก็ไปไม่เป็นเช่นกันครับ แต่ถ้าสมมติว่าสถานการณ์ที่คุณอยู่มันจำเป็นที่จะต้องเดิมพันบ่อยจนเลี่ยงไม่ได้ คุณสามารถสร้างอัตราการชนะสูงอย่างมืออาชีพได้ด้วย f = p-q/d หรือการสร้าง Critical Fraction เช่น การเดิมพันรับ Fraction ที่มากกว่าเหรียญหน้าหัวจะรับได้ซึ่งมันก็รับประกันความหายนะสูงสุดได้ และการเดิมพัน Fraction ที่เหลือจะทำให้คุณรับประกันการเติบโตของความมั่งคั่งได้อย่างแน่นอนครับ ดังนั้นพอคุณจะเข้าสู่วิธีเดิมพันให้ชนะในแต่ละรอบ ย้ำว่าแค่ชนะเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับผลตอบแทน คุณต้องสร้างสถานการณ์ให้ Fraction เป็นไปตามสูตร f = p-q/d ให้ได้ พอคุณสร้างและพิจารณาความน่าจะเป็นให้คุณได้ทราบถึงสถานการณ์ที่ดีแบบมืออาชีพได้แล้ว คุณต้องชิงความได้เปรียบที่จะชนะเงินการเดิมพันในอัตราสูงสุดที่ประกอบไปด้วยการเดิมพัน Fraction f = p-q/d ซึ่งเงื่อนไขก็คือ f > 0 เท่านั้น เมื่อคุณได้ใช้ทฤษฎีที่ผมได้กล่าวไป อย่าพึ่งไปคิดกันเองนะครับว่ามันจะใช้ได้ตลอดไป เพราะคุณต้องรับมือกับ Volatility และ Drawdown ที่มันเป็นปัจจัยให้เกิดความผันผวนหรือขาดทุนให้นำไปสู่การสูญเสียเลยก็ได้ โดยผ่านหลักการของ Kelly Fraction โดยตรงก็คือ พยายามทำให้ค่า a fraction มากกว่า 0 แต่น้อยกว่า 1 ให้ได้

 

พอคุณได้เข้าใจศาสตร์นี้อย่างถ่องแท้แล้วผมขอสปอยให้คุณฟังหลังจากนี้เลยครับว่า แก่นของมันทั้งหมดจะเกิดขึ้นเมื่อการเดิมพันเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในทรัพย์สินที่คุณได้เตรียมมา ทฤษฎีนี้ไม่ได้ใช้งานได้กับการพลิกเหรียญอย่างเดียวแต่มันใช้กับเหตุการณ์เดิมพันอะไรก็ได้ที่เราจะนำ Kelly Fraction มาประยุกต์ใช้งานได้ ผมก็ขอสรุปประเด็นสำคัญของหลัก Kelly Fraction เลยก็คือ การเดิมพันใช้สร้างอัตราการเติบโตแบบนักพนันมืออาชีพได้แน่นอน เพียงแต่ว่าถ้าเกิดคุณคำนวณผิดเมื่อไหร่คุณจะขาดทุนได้มหาศาลเลย สองคือการเดิมพันในรูปแบบ Fraction สำคัญมากสำหรับนักพนันมืออาชีพ และสุดท้ายที่ผมอยากจะแนะนำคือ Kelly Fraction จำเป็นจริง ๆ ถ้าคุณอยากเป็นนักพนันมืออาชีพ เพราะมันการประมาณค่าของมันนี่แหละ ทั้งความเสี่ยงและความถี่ที่เราเดิมพันแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกันครับ

 

Reference: https://www.researchgate.net/publication/314208041_Why_Markets_Are_Inefficient_A_Gambling_Theory_of_Financial_Markets_for_Practitioners_and_Theorists

จิตวิทยา ผลตอบแทน การพนัน กับทฤษฎี Potentially Profitable Gambling Systems

การเอาชนะ ระบบพนัน ให้เหนือคนอื่นได้นั้น ทุกคนรู้ดีครับมันไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน เพราะนอกจากคุณจะต้องมาลุ้นดวงของตัวคุณเองแล้วยังต้องมาลุ้นกับงบประมาณส่วนตัวของคุณ การเงินของคุณ ฐานะของคุณ มันอาจจะพลิกจากหน้ามือไปหลังมือเลยนั่นแหละครับ การพนันมันเป็นอะไรที่เสี่ยงจริง ๆ

ถ้าคุณคิดอย่างที่ผมกล่าวไป แสดงว่าคุณยังไม่รู้จักทฤษฎี Potentially Profitable Gambling Systems อย่างแน่นอนครับ

ซึ่งถ้าเราพูดถึง Potentially Profitable Gambling Systems ทุกคนที่พึ่งเคยเจอก็คงจะงงใช่มั้ยครับว่าระบบพนันมันมีสูตรเอาชนะได้จริงหรือหลอก จริง ๆ ทฤษฎีนี้ผมขอเกริ่นไว้ก่อนครับว่าส่วนใหญ่มันจะเน้นไปที่ จิตวิทยา ของเราครับ ดังนั้นก่อนที่จะเข้าเรื่อง เตรียมตัว เตรียมใจ สร้างความแข็งแกร่งของจิตใจก่อนเข้าสู้ทฤษฎี Potentially Profitable Gambling Systems กันครับ

หลักการแรกมันคือ ทฤษฎีย้อนหลัง 3 ปี ที่คิดค้นโดย Debondt & Thaler ในปี 1985 เขาเรียกหลักการนี้ว่า Three Years Mean Reversion พวกเขาใช้เวลาวิจัยศาสตร์นี้มากว่า 46 ปีเลยทีเดียวครับ เขาเอาทฤษฎีของการลงทุนมาใช้ครับ โดยเขาบอกว่าการที่เขาลงทุนตั้งแต่ต้นทุนเป็นศูนย์ ย้ำว่าเป็นศูนย์เลย เขามักจะรอให้สิ่งที่เขาลงทุนใช้เวลาผ่านไป 3 ปีแล้วค่อยขายออก ทำแบบนี้ประจำ สิ่งที่พวกเขาได้กลับมาคือ ผลตอบแทนที่ได้มากพอที่จะชดเชยต้นทุนการซื้อขาย และอีกสิ่งหนึ่งที่เขาคาดไม่ถึงคือ ผลตอบแทนสูงสุดมักจะเกิดขึ้นในเดือนมกราคมของทุกปี ก็ถือเป็นเรื่องบังเอิญที่พวกเราไม่คาดคิดเช่นกันครับ

หลักการ Potentially Profitable Gambling Systems ต่อมาคือ การสร้าง Momentum ต่อการลงทุนครับ ทฤษฎีนี้ถูกคิดค้นโดย Jegadeesh & Titman ในปี 1993 โดยพวกเขาทั้งคู่เขาได้ลองหา Momentum ในการเก็งกำไรการลงทุนซึ่งเขาพบว่าช่วง Decile สูงสุดของหุ้นที่เป็นระยะเวลา 3 ถึง 6 เดือนจะสร้างผลตอบแทนไปในเชิงบวกอีกครั้งในช่วง 6 ถึง 12 เดือนที่จะถึงได้เป็นส่วนใหญ่ครับ แต่ในขณะเดียวกันครับ ถ้าหากเขาลงทุนใน Decile ต่ำกว่า 3 เดือน มันจะสร้างผลตอบแทนได้ต่ำกว่าที่คิดครับ ทีนี้เขาก็เลยสรุปว่า การทำ Data Mining เป็นสาเหตุหลักในการจัดหาช่วง Decile ที่ดีที่สุดให้กับเราได้ บทความของเขาทั้งสองได้ถูกตีพิมพ์ไปแล้วจนเป็นที่นิยมอย่างมาก

แต่ภายหลังใน 8 ปีต่อมา เขากลับพบความผิดปกติบางอย่าง ซึ่งก็คือ Momentum สร้างความผิดปกติให้กับมันเองแหละครับ

ความนิยมของทฤษฎี Momentum ที่ทุกคนได้เห็นกลับสร้างความปั่นป่วนให้กับทฤษฎีของมันเอง จนปัจจุบันนี้ความถูกต้องอาจจะมีแค่บางส่วนเท่านั้นครับ ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริง ๆ ครับ

ทฤษฎี Closed End Discount Puzzle ก็น่าสนใจไม่แพ้กันครับ แล้วในปัจจุบันนี้ยังการันตีได้ครับว่ามันยังใช้ได้อยู่ ถ้าเราเอาคำว่า มาแปลเป็นภาษาไทย เราจะได้คำว่า ปริศนาส่วนลดปิดท้าย คำว่าปริศนาก็มาจากคำว่า Puzzle นั่นแหละครับ ทีนี้ Puzzle ที่เขาสื่อมันหมายถึงการที่กองทุนปิดมักจะเริ่มต้นช่วงเวลาซื้อขายใน Bull market ภายใน 120 วัน นับตั้งแต่วันที่เริ่มต้นซื้อขายถ้าทุกคนสังเกตดี ๆ มักจะมีส่วนลดต่าง ๆ นานาที่มันเป็นไปตามมูลค่าบัญชี แล้วมันก็จะมีการซื้อขายแบบลดราคาแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่ากองทุนจะปิดกิจการ ทีนี้ Puzzle ที่เขาสร้างขึ้นมามันคือ ส่วนลดพวกนี้มันจะมาตอนไหน? เมื่อไหร่?? ทำไมถึงมี? ซึ่งตรงนี้มันกำลังจะสื่อว่า วันไหนที่มันมีอะไรที่มันเป็น โปรโมชัน คุณอย่าพึ่งไปคิดว่ามันจะสิ้นสุดแค่ตรงนั้นครับ ถ้ายอดขายมันดีเมื่อมีโปรโมชัน การันตีได้เลยครับว่าโปรโมชันมาอีกแน่ ๆ

ทฤษฎีสุดท้ายของหลักการ Potentially Profitable Gambling Systems ที่ผมจะมานำเสนอคือ การสร้างการดวลกันของ Market Return vs Prior Year New Issue หรือก็คือการดวลกันของผลตอบแทนของตลาดเมื่อเทียบกับปัญหาใหม่ในปีที่ผ่านมา โดย Pain Point ของ EMT ที่มีส่วนสำคัญในเรื่องนี้ถูกคิดค้นโดย Baker & Wurgler ในปี 2000 เขาได้บอกไว้ว่า ในหุ้นที่มีรูปแบบไม่เป็นวัฏจักรหรือก็คือคาดเคลื่อนอยู่ตลอดเวลาในปีที่ผ่านมา จะทำให้ปีต่อ ๆ มาสร้างผลตอบแทนที่ย่ำแย่เป็นส่วนใหญ่ได้ ซึ่งความผิดปกติแบบนี้ยังไม่สามารถหาคำอธิบายที่ดีได้ว่ามันเกิดจากอะไรกันแน่ แต่ตัวของ EMT มันส่งผลแน่นอน

หลังจากนี้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับหลักการหรือทฤษฎี Potentially Profitable Gambling Systems ไปแล้วเราก็จะเห็นได้เลยครับว่า ของแบบนี้มันอยู่ที่จิตวิทยาล้วน ๆ หลักการเชิงตรรกะอาจจะมีไม่เยอะมาก แต่ความเป็นจริงแล้วทฤษฎีนี้มันสามารถ Generate เป็น Formula ได้ครับ
001-gambling
จากรูปที่เห็นจะเป็น Formula ของทฤษฎี Potentially Profitable Gambling Systems โดยเขานิยามไว้ว่า Pt คือตัวแปรราคาที่แปรผันตามเวลา, Ct คือค่าของ Cash Flow ที่ขึ้นอยู่กับเวลา, Rt คือ ค่าความปลอดภัยในการลงทุนซึ่งขึ้นอยู่กับเวลา pt คือราคาที่ไม่ได้มาจากการ Random โดยเวลาลบหนึ่ง และสุดท้ายสัญลักษณ์แปลก ๆ ตัวนั้นคือชุดข้อมูลที่ใช้งานได้โดยเวลาลบหนึ่งนั่นเองครับ จากที่เราได้ดูกันผมก็ขอสรุปหลักการนี้สั้น ๆ เลยครับว่า ทฤษฎีนี้ให้ดูปัจจัยของผลตอบแทนเป็นหลักครับ

Reference: https://www.researchgate.net/publication/314208041_Why_Markets_Are_Inefficient_A_Gambling_Theory_of_Financial_Markets_for_Practitioners_and_Theorists

รูเรต (Roulette) ตำนาน การพนัน ที่มี ที่มาจาก วิทยาศาสตร์ นักฟิสิกส์ คุ้นหู นามว่า ปาสคาล

ในตำรา Geometry ที่เรียนกันในต่างประเทศ ก็มีคำว่า Roulette ที่เป็น เส้น “Curve”

 

Roulette เป็นชื่อ ที่มาจากภาษา ฝรั่งเศส หากหาความหมายตรงตัว ภาษาอังกฤษ จะหมายถึง “little wheel” ล้อเล็กๆ เป็นเกมส์ การพนัน ที่ใช้เล่นใน Casino   — ซึ่งบทความนี้ จะนำความน่าสนใจ ในเกมส์นี้มากกว่า การพนันเท่านั้น เพราะอยาก อธิบายที่มาที่ไป เพื่อให้ ประชาชนได้รับทราบ ว่ามันมี วิทยาศาสตร์แฝงอยู่ข้างใน

 

เกมส์ Roulette นั้น ผู้เล่น สามารถเลือก ตำแหน่ง ที่ละแทงเสี่ยง (Bets) โดยการแทงแต่ละครั้งรอบเกมส์ ผู้เล่นสามารถ ลงเลขได้หลายตำแหน่ง (บ้านเรา คล้ายๆกับการแทงหวย) เรื่องของ กฎเกณฑ์ จะยาก ที่จะเข้าใจเสียหน่อย แต่คุณจะพบว่า หากเข้าใจมันแล้ว มันจะเป็นเกมส์ที่สนุกมาก (เราไม่ได้สนับสนุนให้เล่นการพนัน) เราอยากให้คุณ มาเรียนรู้ในแนวทาง วิยาศาสตร์ และ เรื่องเลขา คณิตกันดีกว่า

เริ่มจาก การ ทายเสี่ยง แต่ละครั้ง สามารถ (“Bet”) ได้ดังต่อไปนี้

  1. การแทงเสี่ยง ตัวเลข ที่คาดว่าจะออก
  2. การแทงเสี่ยง เป็นกลุ่มตัวเลข ที่คาดว่าจะออก (เช่น เดาในใจว่า เลข 28,29,30,31,32 น่าจะออกตานี้) ก็จะมีวิธีการแทงแบบกลุ่มเหมือนกัน
  3. การแทง ว่า สีใดจะออก ซึ่ง มักจะมีสี แดง และ ดำ ให้เลือกแทง
  4. การแทงเสี่ยง ว่า เลขคู่ หรือ เลขคี่ จะออก
  5. การแทงเสี่ยง ว่า เลข บน (High 19-36) หรือ เลขล่าง (Low 1-18) ว่า บน หรือ ล่าง จะออก

 

เห็นไหมว่า พอเข้าใจ การแทง 5 แนวทาง คุณจะพบแล้วว่า กฏไม่ยากเลย

แต่อย่าลืม ในเกมส์ รูเรต มีเลข 0 ซึ่งเป็น สีเขียว อยู่ด้วย *** คุณคงเข้าใจว่า โอกาส ออก 0 มันก็มีเหมือนกัน *** พอไปลงเล่นจริง การได้เงิน หรือ กำไร กลับมา ทำได้ไม่ง่ายเลย

 

ใน Casino เขาจะเรียกคนที่หมุน ลูกทรงกลม โดยคนนี้ เราจะเรียกว่า “croupier”

คนที่เห็นในภาพ จะทำการ หมุนวงล้อ (Wheel) ก่อน ตามที่เห็นในภาพ

โดยเขาจะหมุนไปทิศทางใด ทิศทางหนึ่ง หรือจะเปลี่ยนทิศทางก็ได้ และ ความเร็วในแต่ละ ตาการเล่น จะใส่แรงไม่เหมือนกัน หากคุณ เป็น เซียนนักพนัน คุณต้อง คำนวณแรง และ การหมุนพวกนี้อย่างพิถีพิถัน เพื่อโอกาส ที่แต้ม score จะออกมาใกล้เคียง หรือ ใช่ (WIN) กับที่เรา Bet เอาไว้ โดยใน THAISINGAPORE ที่แนะนำ แหล่งฝึกสอน ผู้ที่สนใจ เรื่อง รูเรต โดยเฉพาะ แต่จะเผยแพร่ในวงแคบๆ เพื่อการทำกำไร และ โอกาสชนะเกมส์ ที่สูงขึ้น

 

ลืมบอก ! แต่ละตา บอล กับ จานหมุน จะไปคนละทางกัน

ในกฎของการเล่น Roulette, คนที่เป็น “croupier” หลักจากนี้ บทความนี้ขอใช้คำว่า “Dealer” ซึ่งคนไทยจะคุ้นชินมากกว่า เป็นความหมายที่เราเข้าใจกัน เช่นเดียวกับ ‘เจ้ามือ” “นายแบงค์” “Banker” ตามแต่จะเรียก ที่นี้ เราขอเรียกว่า “Banker”

 

ลูกบอล Roulette – จะถูก “Dealer” ทำการหมุน ไปในทิศทางตรงกันข้าม กับ การหมุนของจานหมุน

เราจะได้ยิน เสียง “แกรก – กราก” ตามมา เพื่อความลุ้น ในการหมุนติ้ว ของลูกบอล เล็ก ๆ บางก็เป็นลูกเหล็ก บ้างบางแห่งก็เป็นลูกที่ทำจากไม้ นักพนันเอง ก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ใน Casino แต่ละแห่ง 100% เชื่อถือได้ หรือ ยัดไส้ มากน้อยแค่ไหน หากคิดตามแบบ ทฤษฎี คมคบคิด (Conspiracy) เราได้ให้ความเห็นว่า อาจมีโอกาส แฝงกลโกงภายในก็เป็นได้ นั่นแหละ ความเสี่ยง ในความเสี่ยง นักการพนันชั้นเซียน จึงเล่นในแหล่ง ที่ ค่อนข้าง น่าเชื่อถือได้เท่านั้น

 

บอลที่หมุนอยู่บนจาน จะหมุนในแรงเหวี่ยง สักระยะหนึ่ง เราเคยทำการนับ ส่วนใหญ่ โต๊ะพนัน จะหมุนลูกบอล ให้เหวี่ยงคงที่ในจานหมุนได้ 12 – 23 รอบ โดยประมาณ

เมื่อเวลาผ่านไป ราว 20 วินาที ลูกบอล จะสูญเสียแรงเหวี่ยง Momentum มันจะทิ้งดิ่งลงมา บริเวณที่เป็น Score (ตัวเลข) ในรางที่เจาะเป็นช่อง ต่างๆ นั่นเอง

 

รู้ไหม ? Roulette มีกี่ช่อง?

 

  • ในแถบ ยุโรป จะมี 37 ช่อง
  • ส่วน อเมริกา จะมี 38 ช่อง

 

*** อเมริกา ดูยากกว่าใช่ไหม เพราะ โอกาสถูก หารลง ไปอีก 1 ตัว มากกว่า ฝั่งยุโรป ***

History ของ เกมส์ รูเรต

 

roulette ถูกทำการค้นพบ โดย คุณ “Blaise Pascal” (อันนี้ นักประวัติศาสตร์หลายๆท่านเชื่อแบบนั้น) แต่เหลือเชื่อใช่ไหม ตอนเด็กๆ สมัยเรียนหนังสือ เราพบว่า ปาสคาล เป็นนักวิทยาศาสตร์ นี่นา ทำไม มาเปิด Casino? ,

 

คำตอบ :

 

 

 

 

 

 

แหล่งที่มา

https://en.wikipedia.org/wiki/Roulette_(curve)

https://en.wikipedia.org/wiki/Roulette#History

https://en.wikipedia.org/wiki/Roulette_(disambiguation)

https://en.wikipedia.org/wiki/Postage_stamp_separation

การรักษาสิว – รวบรวมงานวิจัย | Blog SirWilliams.ORG

Research Acne Treatment
รวบรวมงานวิจัย เกี่ยวกับการรักษาสิว

อันดับแรก – เรื่องสิว แม้จะเป็นเรื่อง ความสวยความงาม หรือ ผู้ใหญ่ อาจมองว่า พวกเด็กวัยรุ่น วัยใส มักมีปฏิกิริยา เรื่องของ ความสวยความงามบนใบหน้า , สำหรับ ผู้เขียนเอง ในยุค รุ่น ปู่ ย่า หรือคนที่เกิดในยุค สงครามโลก ครั้งที่ 2 มักจะไม่เน้น ความงาม ที่รูปลักษณ์ หน้าตา แต่จะมุ่งเน้น เรื่องของจิตใจ และ พฤติกรรม การวางตัวเป็นหลัก

ผู้เขียน (ในปี 2017) เราอยู่ในยุค ที่โลกเรา ขีดเส้น ทางสังคม และ ระบบเศรษฐกิจ ของประชากร ว่าเป็นยุค Generation Y, Generation Z. ในฐานะคนไทย ที่ได้รับ อิทธิพลแผ่ซ่าน มาตั้งแต่ช่วงยุคต้นสงครามเย็น (50s) จวบจนปัจจุบัน เราจะเห็น ดารารุ่นใหญ่ ที่เป็นผู้บุกเบิก เรื่องการ ศัลยกรรม และ การดูแล ผิวพรรณ จนเราเริ่มมาเห็น ครีมบำรุงผิว ในช่วงยุค 70s เมื่อ อุดมการณ์ ทางการเมือง หดหาย เรื่องความงาม เป็น อุดมการณ์ ทางปัจเจก เพราะ อิทธิพลทางการขัดเกลาทางสังคม เริ่มมีความเป็น ปัจเจกมากยิ่งขึ้น

ผมเลย รวบรวม ความสมเหตุสมผล เพื่อ นำบทความ วิจัยเรื่อง การดูแล รักษาสิว ที่คัดกรอง และ หามาได้
แชร์แด่ ท่านที่มีปัญหาเรื่อง สิวแบบผม โดยเฉพาะ ท่านที่มีผิวมัน หน้ามัน มีสิวอักเสบ และ สิวอุดตัน

ก่อนอื่น ผมได้มีประสบการณ์ โดยตรง ที่เลวร้าย จากการ รับประทาน อาหาร จำพวก Fast Food ที่มี Cheese เยอะๆ และ แซนวิช ทานง่ายๆ ตามร้านสะดวกซื้อครับ ทำให้ ผิวของผม เห็นได้ชัดว่าเสื่อม และ แก่ก่อนวัย อีกทั้ง เรื่องของ การเมินเฉยต่อการ ดูแลรักษาสุขภาพ และ การสูบบุหรี่ มาอย่างต่อเนื่อง เลิกบ้าง กลับมาสูบบ้าง ตั้งแต่ปี 2005 จนมาบัดนี้ ก็ราว 12 ปีแล้ว ที่เรายังสูบบุหรี่อยู่ ผมเลยริเริ่ม โครงการ นักธุรกิจ เลิกสูบบุหรี่ ให้แก่ บริษัทต่างๆ เข้ามาร่วม

หากคุณ กำลัง ศึกษา เรื่องการรักษาสิว อย่างหมดจด เด็ดขาด และครอบคลุม ผมจะเป็นแหล่ง สืบค้น เรื่อง งานวิจัย สำหรับการรักษาสิว ที่หาได้ตาม Internet และหาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือครับ สำหรับคนที่มีปัญหา เรื่องผิว ที่ต้องการทางออก แล้วยังคง มีปัญหา จากการเดินเข้า Clinic ความงาม

บางที หมอผิวหนังก็เก่งนะครับ บางที หมอผิวหนัง ใช้เวลากับเราน้อยเกินไป — ลองสังเกตดูครับ ว่า ตามสถานที่รักษาสิว ยอดนิยม เป็นเรื่องของ Brand คนเข้าๆ – ออกๆ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ผมเลย อยากหาพื้นที่ตรงนี้ มาเขียน BLOG เพื่อ รวบรวม สิ่งที่ตัวเอง เป็นอยู่ และ สำหรับ ผิวคนแพ้ง่าย หน้ามัน ปากแห้ง และ เป็นปัญหาจากการทำงานหนัก ความเครียด หรือ ปัญหา ผิว ความเสื่อมโทรม มาจาก การทำงานหนัก โดยเฉพาะครับ ตรงนี้ ลองมาค้นคว้าร่วมกันดู เพื่อเป็น ตัวประกอบ เพื่อเลือกรักษาสิว หรือ ปัญหาผิวหนัง ที่เหมาะสมกับท่านที่สุด, ผมได้ใช้เวลามาหลายปี สืบค้น เรื่องการแก้ปัญหาส่วนบุคคล เรามักค้นพบ และ พบเจอ สิ่งที่เรียกว่า “การอวย” สินค้า และ บริการ ด้วย หน้าม้า ที่จ้างมาอีกที ตรงนี้ ทำให้เราได้รับ ข้อมูลข่าวสารที่ผิดๆ และหลงเชื่อ จาก สิ่งบอกเล่า จากคนที่เราไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ผมเลยคิดว่า ยังมี ผู้ที่มีปัญหา อีกจำนวนหนึ่ง ที่ต้องการ ศึกษา ข้อเท็จจริงให้ดีกว่านี้ ก่อนการตัดสินใจ เพื่อหา Solution ที่เหมาะสม ที่สุดกับเราครับ หวังว่า บทความนี้ จะมีประโยชน์ยิ่ง สำหรับท่านผู้อ่าน ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง

  1. แนะนำ ให้ลองหา “New prescription Acne medication 2017” ใน Google นะครับ

เมื่อผมลองค้นหาคำนี้ เราจะได้แหล่งตัวยา ที่น่าศึกษามาอีกเพียบเลยครับ

อันนี้เป็นบทความ รีวิว เกี่ยวกับ ตัวยาต่างๆ (ข้อมูลเชิง Fact) อันนี้ เขาจะเล่าไปเรื่อยๆ สำหรับตัวยา หรือ ใบสั่งยารักษาสิว (ใช้คำว่า เยียวยาเรื่องสิว สำหรับ กฏหมายต่างประเทศ) ยาแต่ละชนิด จะถูกอธิบาย ตั้งแต่ ยาสิวทั่วๆไป ที่มีลักษณะ อ่อน ไม่มีผลเสียกับสุขภาพ หรือ ยากลุ่ม ที่ใช้บ่อย พบบ่อย เขายังแนะนำว่า แต่ละคน ต้องการตัวยาไม่เหมือนกันครับ และกระบวนการเยียวยา ต้องอาศัยความชำนาญพิเศษ รวมทั้ง การผสมกันระหว่างขนาดยารักษาสิว ชนิดต่างๆ สำหรับผม คงต้องพึ่งยาชนิด Strong Type ที่ รักษาสิว ประเภท Nodules อันนี้ อยากให้ คนที่มีปัญหา สิวช้ำหนองช้ำใน จากพฤติกรรม แล้ว การหมักหมม เพราะทำงานหนักแบบผมได้ลองศึกษาดูครับ ส่วน ตอนหน้า ผมจะมาบอกว่า นอกจากยารักษาสิวแล้ว อะไรคือ สิ่งที่ยั่งยืน ในการรักษาสิวอย่างแท้จริง และ ไม่กลับมาเป็นอีก

 

สูตรยาแต้วสิว สูตรแรก “Benzoyl Peroxide”

สูตรแบบ อ่อน เช่น “Benzoyl Peroxide” เป็นตัวยาแต้มสิว ที่ใช้ง่ายสุด และ มี Side Effect น้อยกว่า ลองดูว่า ยาแต้มสิว ชนิดต่างๆ มี Base ส่วนผสมหลัก ทำมาจากอะไร ?

เริ่มจาก “Benzoyl Peroxide” หรือ ที่เราเรียกว่า BP มักเป็น ใบสั่งยา ที่ได้รับการใช้บ่อยที่สุด
ชื่อทางการค้า ที่มักคุ้นเคย

  • Brevoxyl
  • Benzaclin
  • Benzac AC
  • Triaz

มักเป็น Gel หรือ ครีม และอาจเป็น โฟมล้างหน้าก็ได้ การทำงานของมัน คือการนำ Oxygen ไปสู่ใต้ผิวหนัง
โดยหลักการประมาณว่า ทำให้ เชื้อ Bacteria อยู่ไม่ได้ เมื่อมี Oxygen 99.9% ซึ่งวิธีการนี้ ใช้ได้ดีหากใช้ได้ถูก Dose ยา นะครับ

ปัญหาของยาแต้มสิวชนิด “Benzoyl Peroxide” มักจะเป็น ยาแรงเกินไปครับ ผมเอง ต้องดูฉลาด ยาแต้มสิวบ่อยๆ เคยโดน พวกขายตรง มาหลอกขาย พวก สูตรรักษาสิว แล้วเอาสารเคมี ที่มีส่วนประกอบเข้มข้นของยาตัวนี้มาหลอกขาย ให้ดูเหมือนของดี ใส่สารเข้มข้น สิวหายเกลี้ยง ผมลองแต้มแล้ว หนักกว่าเดิมอีก ฉนั้น อย่าไปเชื่อ พวกขายตรงมากนัก พวกนี้ ถูก Training มามั่วๆ ทำให้ได้ยอดขาย เร็วๆ เท่านั้นเอง เขาไม่ใช่หมอ แต่จะมาอ้าง เป็นเวชสำอาง อะไรแบบนั้น ใช้แล้วอาจหน้าพังได้ครับ ถ้าไม่รู้เท่าทันเรื่องพวกนี้

ไอ้เจ้าตัวยานี้ ไม่เหมาะสำหรับใช้ทั้งใบหน้าครับ โดยคนส่วนใหญ่ มีประสบการณ์ เรื่องแพ้สารตัวนี้เยอะ แล้วก็ มีปัญหาเรื่องผิวไหม้ แสบ คัน แล้วเกิดอาการลอก หากคุณได้ใช้ตัวยาชนิดนี้แรงเกิน 5% อันนี้ ควรปรึกษาหมอที่ไว้วางใจได้ดีกว่า โดยถามหมอที่เชี่ยวชาญ เรื่องผิวหนังครับ จะได้ไม่เสี่ยง และ ระวังพวกขายตรงให้มากที่สุด แต่ส่วนใหญ่ หมอเองก็มักให้ยาแรง โดยจ่ายยา ที่มีส่วนผสมของ Benzoyl Peroxide ให้แก่คนไข้ 10% เลย !! เกิด Side Effect ตามมาอีกครับ อย่างไรก็ตาม แม้แค่ส่วนผสมเพียง 1% – 3% ก็สามารถสร้างอาการแพ้ให้เกิดขึ้นได้ครับ ทางเทคนิค เขาว่า ไม่คล้ายกับ อาการ “Hardening Effect” ของกลุ่ม BP อยากให้ศึกษาและทำความเข้าใจ อย่าสับสนกันครับ

หากจะเริ่มใช้ยาตัวนี้ (ความเห็นส่วนตัว ผมขอผ่านครับ เข็ด) แต่ถ้าได้ โดนแนะนำ แล้วอยากลอง แนะนำให้ทดสอบ ตัวยาขนานอ่อนๆ ไปก่อน เช่น 2-2.5% ก็พอแล้วครับ .
ในแหล่งที่มา ที่กล่าวอ้างข้างต้น หากคุณได้ลองศึกษา ก็จะพบคำแนะนำ การใช้ยา สำหรับคน Asia ด้วยครับ โดยเลือกครีมที่อาจมีส่วนผสมของ วิตามิน E ผสมอยู่ครับ เห็นบอกว่า มันจะช่วยเกี่ยวกับเรื่อง เม็ดสี หลังจากรักษาสิวไปแล้วด้วยหล่ะ

ตอนหน้า ผมจะ Research ยาตัวอื่นๆ ดูครับ เช่น “Azelic Acid” , “Antibiotics” และอื่นๆอีกมากมาย ให้ สมาคม ชาวสิวเห่อ อย่างเราๆ ได้ทดสอบประสิทธิภาพ

แนะนำ เพิ่มเติมครับ : หากการดูแลผิวอย่างยั่งยืน ละครบถ้วน ลงทุน ซื้อของดีๆ มาติดบ้านไว้ อย่าง Personal IPL ของ Pione. ที่ใช้ นวตกรรม Xtensive Flash ซึ่งโดดเด่น ไม่เหมือนใคร ราคา อาจสูงกว่า IPL ตามท้องตลาด แต่ผมว่า เหมือน ขับ รถ BMW ครับ ซื้อรถก็ต้อง ซื้อที่ สมรรถนะ ส่วนการเลือกพวก IPL ก็เช่นกัน หากเอาเรื่อง Deep จริงๆ แนะนำ ซื้อของดีๆไปเลย เพราะมันคุ้มหากลองคิด เปรียบเทียบกับ การทำ เลเซอร์ ที่คลินิค หรือ การทำ IPL ที่ Clinic ครับ

เพิ่มคุณค่าโรงแรม สร้างบรรยากาศที่ดีกว่า และ สิ่งเล็กๆในห้องน้ำ

ยกระดับ โรงแรมให้เป็นมืออาชีพ ด้วยสิ่งที่เราไม่คิด และ ซ่อนในมุมเล็กๆ ด้วย Soap

เราจะสังเกตว่า การจ่ายเงินเพิ่มขึ้น ให้แก่โรงแรม ไม่ได้เกี่ยวกับว่า โรงแรมนั้นๆ จะอยู่ในทำเลประเภทใด จะติดทะเล หรือ ใกล้แหล่งอาหารการกิน เช่น ร้านอาหารทะเลสดสะอาด มาตรฐานระดับ 5 ดาว หรือ สถานบันเทิง ที่น่าสนุกสนาน แต่สิ่งเหล่านั้น ไม่เทียบเท่ากับ Value ที่เป็น Experience ในระดับ ที่ติดตาตรึงใจ และ หาจากที่ไหนไม่ได้แล้ว

ผู้เขียนเอง เคยเจอประสบการณ์ เสียค่าโง่ เพราะ เลือกห้องพักไม่เป็น โดยใช้ Platform Online แบบสมัยใหม่ ทำให้เรา ไม่ทราบ ความเป็นมาของ โรงแรมที่พักแห่งนั้น

บริการแย่ๆ ถ่ายรูป แต่งภาพ หลอกลวงลูกค้าให้ไปพัก พันเหนาะๆ คืนละ 7,000 บาท แบบนี้ ผู้เขียนเคยโดนมาแล้ว
สภาพ ห้องพักที่ยังสร้างไม่เสร็จ เหมือนที่ท่ายชายทั้งหลายแซวเป็นมุก แบบหนัง AV ที่ไม่ตรงปก อย่างใดอย่างนั้น

ภาพที่โกหกหลอกลวงใน เว็บไซต์จองโรงแรม

ภาพ ที่ขาย ระดับ 12,000 บาท สร้างจินตนาการ แต่ว่า พอไปจริง ทั้งที่และทำเล อย่างกะ โรงเตี๊ยม 250 บาท
ระดับ Amenity ของโรงแรม หายไปหลายเท่าตัว
เทคนิค ที่เขาทำกันเป็นล่ำเป็นสัน จนตอนนี้ ผู้เขียนตื่นรู้และฉลาดขึ้น วันหลังผู้เขียนจะเขียนเทคนิคการเลือกโรงแรมที่พักอย่างไรไม่ให้เสียหมา. เรานั้น ต้องการ สัมผัส และ บรรยากาศที่ดีที่สุด ในเงินที่เราจ่ายไป แต่ส่วนใหญ่ เรามักเจอ ภาพ SCAM จากใน Net, ที่เราไม่อาจสัมผัสได้จริงก่อน โดยเฉพาะ การไปพักในช่วงมรสุม และ เลือกพัก เพียงเพราะ รูปภาพ ที่มีสระน้ำใสแจ๋ว ซึ่งผิดธรรมชาติ อันนี้ต้องระวังเรื่องราคาครับ เราควรเช็ค Rate มาตรฐาน หรือดู ราคากลไก ในต่างประเทศ หากหาที่พักดีๆ ไม่ได้ในช่วงนั้นๆ ให้เรา Plan การท่องเที่ยวก่อนที่จะถึง ฤดูนั้นๆ และระวัง การรีวิวหลอก จากพวก หน้าม้า ที่โรงแรม Low Reputation ที่จ้างคนว่างงาน มาพักโรงแรมฟรีๆ แล้วมี รีวิว 5 ดาว กันไป พวกนี้ ทำให้เรา ขาดทุนในเชิงการซื้อประสบการณ์ดีๆ สำหรับวันหยุด ที่คู่ควร อยากให้ ตระหนักคิดไว้ครับ 1 ปี เราแก่ลง เราเที่ยวได้ ปีละ 2-3 ครั้ง จ่ายให้ของที่ดีกว่า อย่ารีบร้อน อย่าอ่าน รีวิวในเน็ต จากแหล่งเดียว มันจะพลาดแบบผู้เขียน นี่แหละ

ก็เลยเตือน ท่านผู้อ่านครับ เวลา เราไป พักที่โรงแรม ของดีที่ไม่สามารถหลอกกันได้ง่ายๆ คือ สบู่โรงแรม หรือ Facilities ที่เป็น ส่วนหยุมหยิม ให้เรา เลือกเปรียบเทียบตรงนั้น มันมักออกมาในภาพ แบบโกหกเราไม่ได้เลย ลองหารีวิว ที่เป็นงานถ่ายรูป จากผู้ที่เข้ามาพัก จะปลอดภัยกว่า และ ลองสอดส่อง ห้องน้ำ และ สิ่งที่วางอยู่ในห้องน้ำ เราควรจะจ่ายเงินตามจริงจากของเหล่านั้น เลือกโรงแรม ที่เขามีสิ่งอำนวยความสะดวก ที่จริงใจมากกว่า

ตัวอย่างสบู่ ที่เขาจริงจังมากๆ เช่น Shiseido จากญี่ปุ่น

เราก็รู้ๆกันอยู่ ญี่ปุ่นคลั่งวัฒนธรรมของตนเองมากๆ แล้วมันก็ออกมาสู่กลิ่นสบู่ที่เป็น brand นี่สิ จนฝรั่งเอาไปขายเพลินๆ และติดตลาดใน Ebay เข้าให้ นั่นคือสบู่ รุ่น Eco Soap Face Cleaning ขนาด 18g. หรือสบู่ก้อนโรงแรม ขนาดมาตรฐานนั่นเอง ( ภาพจาก Ebay Shiseido Amenity Soap )

 

สบู่เหลว สำหรับโรงแรม สบู่ Eco จาก ญี่ปุ่น

โรงแรมระดับ 5 ดาว ให้ของดีๆ แก่แขกจริงๆ

สินค้าจากค่าย Shiseido เห็นราคาขายใน Ebay ต่อหน่วย อยู่ที่ $6.49 หรือราวๆ 227 บาท
ถ้าโรงแรมหรู ระดับ 5 ดาว แค่สบู่ล้างหน้า ก็ให้ Value กับลูกค้าในรูปแบบ ห้าดาวเหมือนกัน
สบู่ แนว Amenity ถ้าคนที่ ชอบการท่องเที่ยว การพักโรงแรม และชอบสะสม ของที่ระลึก เช่น สบู่ในโรงแรม พวกเขาเหล่านั้น จะทราบว่า สบู่เหลว หรือสบู่ก้อน คุณภาพสูง ที่ถูกสั่งผลิต อย่างปราณีต และ สร้าง Identity ให้แก่โรงแรม นั้นเป็นเรื่อง ที่น่าสะสมเอาไว้ มีแขกจำนวนไม่น้อย ที่เก็บสินค้าเหล่านี้ไปอวดเพื่อนของเรา และ กล่าวถึงบรรยากาศ ห้องพัก และ คุณภาพของบริการที่เป็นกันเอง

 

สบู่เฉพาะทาง และงานวิจัยที่น่าสนใจ
จากสบู่โรงแรม ก็เข้ามาที่ Lab และ ห้องวิจัยในทั่วโลกเรากำลังเจอ สารประกอบ (Compound) ใหม่ๆ ในสบู่ เพื่อลดการเกิด แบคทีเรียฟลอร่า (Bacterial Flora), หรือพวก Microbial species หรือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจิ๋ว ที่เกาะอยู่ตามผิวหนังของมนุษย์ นั่นคือบทวิจัยเรื่อง สบู่ล้างมือที่ทำปฏิกริยากับกลุ่ม Gram-positive organisms ซึ่งมันคือ แชมพูหรือสบู่กลุ่มที่ ต่อต้านจุลินทรีย์แกรมบวก ในทางการแพทย์ เขากล่าวถึงเรื่องการติดเชื้อ ผ่านทาง ผิวหนังและเนื้อเยื่ออ่อน และ การติดเชื้อ ในอุโมงค์ใต้ผิวหนัง สบู่อนามัย จึงมีความแรงจำเพาะ ด้วยส่วนผสมสูตรพิเศษ อย่างในบทความ ที่เราได้กล่าวอ้างและหยิบยกมาประกอบ อย่างเช่นในมุนษย์ เราจะมีกลุ่มที่เรียกว่า “Indigenous Microbiota” โดยจะประกอบไปด้วย Eucaryotic Fungi และพวก Protists โดยจะมี แบคทีเรีย เป็นส่วนผสม อยู่ใน microbial components จำนวนมากๆ เราจะพบตามสื่อโฆษณา บ่อยๆ ว่า แบคทีเรีย นั้นคือเชื้อโรค แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง หากศึกษา เรื่องราว อย่างใช้สติ สักนิด เราจะพบว่า แบคทีเรีย เป็นส่วนผสมพื้นฐานที่อยู่ในร่างกายของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งร่างกายมนุษย์

 

อย่างที่กล่าวมาข้างต้น เรามี Normal Bacterial Flora หรือ แบคทีเรียประจำถิ่น ที่เราไม่อาจระบุว่าเป็นเชื้อโรค ได้นัก ควรศึกษาถึงสิ่งที่เรากำลังจะ Protect หรือ Eliminate มันเป็นเรื่อง สารผสม ในสบู่ ที่เราต้องการใช้เฉพาะเจาะจง

หลังจากอ่านบทวิจัยนี้ คาดว่า สบู่ที่มีความจำเพาะ ที่ใช้ในวงการแพทย์ เฉพาะ สบู่ล้างมือ ที่ใช้ในห้องผ่าตัด จะมีคุณลักษณะจำเพาะ ที่พิเศษไปอีกขั้นหนึ่ง

ส่วนเรื่องสารประกอบทางเคมี ที่ควรแก่การศึกษา เราจะพบคำว่า 2,3-Dihydroxy-3-methylpentanoic acid
( Code ใน สารเคมี KEGG = C04104, เป็นกลุ่ม Compound 8 ), ดูที่

จะกล่าวถึง Isoleucine เป็นพวก α-amino acid ไว้เขียนส่วนขยาย ในกลุ่มนี้ทีหลัง, เป็นส่วนผสมในร่างกายมนุษย์ แต่ร่างกายไม่สามารถ สังเคราะห์ออกมาได้ จำเป็นต้องผ่านกระบวนการย่อย ในการกินอาหารของเรา เท่านั้น

 

การเคลมที่น่าสนใจ (Claim) นวตกรรมสบู่ ไม่ใช่แค่ถูไถ จนน้ำหนูไหล

ในสิทธิบัตร : Washing composition capable of preventing and ameliorating skin irritation ชิ้นงานนี้ เกี่ยวกับเรื่องสารเคมีที่ใช้สำหรับชะรำล้าง – มักจะมีส่วนผสม ที่มากกว่า 1 Surfactant แต่ไม่มีส่วนผสมของ โปรตีเอส (Protease) เป็น เอนไซม์ พอลิเพปไทด์ ในเรื่องของการพัฒนา ในสิทธิบัตรตัวนี้ มีสารประกอบ ที่เลือกมาจากกลุ่ม ที่มีส่วนผสมของ Leupeptin โดยมีสูตร “##STR15##” บทสรุป ของสิทธิบัตร นี้ กล่าวถึง การชำระล้าง สารประกอบที่มีมากกว่า 1 จะมี กระบวนการที่เรียกว่า “Protease Inhibitory Activity” โดยจะเป็นการป้องกัน และ การระคายเคือง หรือการแพ้สารนั้นดีขึ้น “Skin Irritation”

นวตกรรมสบู่ เทคโนโลยีจาก Lab แต่งเติมให้เรา เจอสบู่ที่น่าสนใจออกมาสู่ตลาด หากเราเป็นเจ้าของโรงแรม ควรค้นหาสบู่ที่ควรคู้บารมีและการเติบโตก้าวหน้าของโรงแรมของเราเช่นกัน อย่าให้มันน่าเบื่อ และ เรียนรู้การหาสบู่ที่ดีกว่า เข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ของวัฒนธรรมที่มีกลิ่นอายเล็กๆ หลงเหลือในสถานที่ ที่ควรจะเรียกมันว่า Amenity. ที่จดจำไม่รู้ลืม

 

อีกเหตุการณ์หนึ่ง คุณค่าที่หลอกไม่ได้

มาดู ความทุ่มเท ที่หลอกลวงด้วยภาพไม่ได้ เราลองค้นหาโรงแรม “Las Alcobas” ได้ รีวิว เต็ม 5 ดาว ใน Trip Advisor และพบว่า รีวิว ได้ส่งผ่านไปอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้มีการจัดตั้งใดๆ ทั้งสิ้น สารตั้งต้นที่ดี คือพยายามเข้าใจ Sense สัมผัสของลูกค้า เหตุผลที่ง่าย และ พื้นฐานที่สุดของลูกค้า คือ ประสบการณ์ ที่ดีกว่า การมีชีวิตในชั่วเวลาหนึ่ง ที่เขาซื้อมา นั่นแหละ เขาจึงจ่ายแพงกว่า สบู่โรงแรม ที่คุณเลือกได้

หากคุณได้ลองไปดูรีวิว ที่นี่ แล้ว Research เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวรอบๆ ที่พักแห่งนี้ คุณจะพบว่า ประสบการณ์นี้แหละ ที่ใช่เลย ลองดูที่นี่ครับ ใน Trip Adviser : https://www.tripadvisor.com.au/Hotel_Review-g150800-d1652453-Reviews-Las_Alcobas-Mexico_City_Central_Mexico_and_Gulf_Coast.html

Win point ของโรงแรม ระดับ High-End

ไม่ใช่ทำเลที่เจ๋งเป้งเลย แต่ดันกลายเป็นเรื่อง หยุมๆหยิมๆ ที่โรงแรมอื่น ไม่ได้ทำ คือการสร้าง Identities ของตนเอง ด้วย Service ที่เหนือคู่แข่งเข้าไปอีก สิ่งนี้แหละ ที่เราหาไม่ได้จากที่อื่น แล้วก็เกิดการบอกต่อ

 

สูตร การผสมเล็ก ผสมน้อย ตลอดเวลา เพื่อสร้างความประทับใจในงานโรงแรม แบบนี้ อยากให้โรงแรมในประเทศไทยดูไว้ครับ ผมไปหลายๆ โรงแรม มีแต่ Take เงินในกระเป๋าแขก แต่เราไม่ได้ service ที่ดี คุ้มมูลค่า กลายเป็นว่า เราต้องเข้าโรงแรมใหญ่ๆ 5 ดาวขึ้นไป และพบว่า พวก โรงแรม แต่หน้ากากสวยๆ แต่ Experience 2 ดาว มีมากมาย ทำตัวเอง เป็น 4 ดาว เนียนด้วยการ อั้บ Facilities ให้ดูหรู

แบบนี้รู้สึกได้ว่า Fake. เวลาผมไปเที่ยว ยุโรป สิ่งที่เห็นต่างคือ สิ่งอำนวยความสะดวกเล็กๆน้อยๆ ในเชิง Experience นั้นเขาละเอียดมากๆ

 

ลูกค้านั้นอยากเลือก และ เกิดรีวิวดีๆตามมามากมาย

เข้าใจแขกที่มาพัก เขาอยากได้ Exp. และ สัมผัสที่เหนือกว่าที่อื่น ทำเสียเถิด ทำให้เหนือระดับ อย่าเอาแต่เก็งกำไร ห้ำหั่น ตัดราคา หรือโก่งราคา แบบที่ว่า ทำแบบลวกๆ ไร้มาตรฐาน ใครทำอยู่ก็เลิกทำเสีย มันเสียทั้งวงการ

มีหลายโรงแรม ที่เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว แต่ก็ยัดไส้ สบู่ในห้องอาบน้ำ ด้วยสบู่เกรดต่ำ เข้าไปใช้แล้ว สงสารแขกที่มาพัก พวกนี้ชอบเคลมว่า ของดี เข้าไปมีแต่หน้ากาก ไร้ความเป็นมืออาชีพ

หากท่านผู้อ่าน เป็นแขกที่คอบหาที่พักในโรงแรม โปรด เช็คสบู่ที่ท่านได้ใช้ไปแล้ว พิจารณาว่า ท่านได้เสียเงินคุ้มค่ากับที่ไปพักหรือไม่ แล้วดูเรื่องอาหารการกิน การเดินทางไปสู่ที่พัก เจ้าหน้าที่ ให้ความเป็นส่วนตัวกับเราหรือไม่ Amenity ไม่ใช่แค่เรื่องสนามกอล์ฟสวย แคดดี้นมใหญ่ แต่เป็นเรื่อง ความปลอดภัย ความสบายใจ สัมผัสที่ละมุนกว่าในช่วงเวลาที่จำกัด ยังมีอีกหลายโรงแรมในไทย ที่มองข้ามสิ่งนี้ แล้วขยี้ แขกผู้มาพักด้วยสบู่เกรดต่ำ ฟอกอาบน้ำแล้วแสบคัน พร้อมนอนในค่ำคืนที่หลับไม่สบาย หากท่านสนใจเรื่องการค้นหาที่พัก ที่เหนือระดับ ไว้ตอนหน้า

รูปแบบต่างๆ ของเงินและมูลค่าของเงิน

ความเชื่อ และการเปลี่ยนแปลงของ เงิน – เปลี่ยนรูปแบบธุรกรรม ตอนที่ 1.

คุณค่าของเงิน ไม่ใช่เรื่องการจับจ่ายใช้สอย หากคุณเป็นลงทุน และ เป็นผู้ศึกษาการทำธุรกิจ บทความนี้จะมีประโยชน์สำหรับทำความเข้าใจ นิยามและบริบทของเงิน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของเงินไปตามรูปแบบและยุคสมัย โดยมีผลกระทบมาจาก การเมือง และ การเปลี่ยนรูปแบบทางสังคม ความนิยม อีกทั้งความเชื่อในเรื่องของ คุณค่าของเงิน โดยเงินเป็นตัวกลางของการแลกเปลี่ยน มูลค่า ที่เรามีให้กับ มูลค่าของสิ่งหนึ่งที่เราได้รับมา การทำงานแลกเงิน กับการสร้างระบบและสร้างธุรกิจที่ทำเงินจึงแตกต่างกัน อยากให้ผู้ที่กำลังหาเงิน และแสวงหาโอกาส ให้มองบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในความเชื่อเหล่านี้ จะได้ไม่วิ่งไปตามกับดัก ที่ทำให้เราออกห่างจาก คุณค่าที่สูงกว่าเงิน

การขุดหาเงิน

ในยุค ทุนนิยม (Capitalism) ในบทความนี้ จะยึดโยงไปที่ประเด็น เกี่ยวกับ Wage labour หรือ ค่าแรงงาน เป็นค่าจ้างจากการเซ็นสัญญา โดยนายจ้าง และ โดยทั่วไป ตลาดแรงงาน ที่มีค่าแรง เป็นตัวกำหนด ส่วนในทางปัจเจกของแต่ละบุคคล ในรูปแบบของ Marxist Economics ผู้ที่เป็นเจ้าของ ที่เป็น ปัจจัยการผลิต และ สินค้าของทุนเหล่านั้น เรียกว่า กลุ่มทุนนิยม และในหลักการนี้ได้อธิบายต่อว่า บทบาทของ นายทุน ได้เปลี่ยนบทบาทไป อันดับแรก ได้กล่าวถึง สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ หรือไม่มีคุณค่า ระหว่างผู้ผลิต และผู้จ้างให้ผลิต แรงงาน ได้รวมไปถึงทรัพยากรณ์ทางด้าน ร่างกายและ มันสมอง จิตใจ ของมนุษย์ รวมไปถึง ศักยภาพของ กิจการและ ทักษะการบริหาร ในส่วนที่เป็นกระบวนการผลิตและบริการ มันเลยเป็นที่มาของ กำลังแรงงาน

ที่กล่าวมาคร่าวๆ ทำให้เราพอทราบ scope ของค่าแรง และ แรงงาน ในฝั่ง การผลิต ตรงนี้เอง ที่จะยึดโยงไปในส่วนของ คุณค่าของเงิน และผมจะให้น้ำหนัก โดยยกตัวอย่างของ เงินในแต่ละประเภท รวมไปถึง เรื่องเงินเฟ้อ ในกระแสเศรษฐกิจ อีกทั้ง ทำให้คุณเริ่มเข้าใจ แนวทางของการหาเงิน จากกระบวนการแลกเปลี่ยน และ การเก็งกำไร อีกทั้ง ยังต่อยอดในเรื่องของ การลงทุนในหุ้น เราต้องอาศัยทักษะการเรียนรู้ จากหลักการที่มาเหล่านี้
ลักษณะของเงิน ประเภท Fiat และ Digital Money

ผมได้ขอกล่าวถึง เรื่องเงินในประเภทที่ Specific ลงไปอีกหน่อย นั่นคือ เงินในรูปแบบ Fiat หรือ รูปแบบเงิน เป็นเงิน ที่จัดตั้งโดย กฏหมาย (ลองศึกษาเกี่ยวกับ Legal Tender กับเรื่องระบบเงิน) หรือ รัฐบาล ซึ่งผมลองศึกษาประวัติศาสตร์ชาติจีนในสมัยราชวงศ์หยวน ระบบเงินตรา เฟียต นั้นคือเงินประเภท กระดาษ ซึ่ง มันก็คือ เงินตราที่ถูกกำหนดค่าเงินโดยรัฐบาล และเป็นเงินที่เราใช้ในปัจจุบัน ในสมัยราชวงศ์ ซ่ง มีการนำกระดาษมาทำเงิน เรียกว่า Jiaozi แต่ตอนนี้ มันคือ ติ่มซำนั่นเอง

ส่วนเรื่อง Legal Tender ที่เกี่ยวกับค่าของเงิน ในแต่ละประเทศ เช่นในอังกฤษ ช่วงปี 1971 มีการเปลี่ยนแปลงของธนบัตรใบละ 10 ชิวลิง แทนที่โดย เหรียญ 50 เพนนี่ อันนี้ ได้ความรู้มาจากร้านรับแลกเงินในอังกฤษ ก็คือ พวกเหรียญที่เป็น Decimal Coin อย่าง 5p จะเท่ากับ 10 shilling เป็นกลุ่มที่มีความแม่นยำ หรือนับเต็มจำนวนได้ง่าย ส่วนอีกกลุ่ม จะนับยาก ไม่แม่นยำ อย่างพวกเหรียญ 1/2p, 1p, 2p จะเท่ากับ 1.2d, 2.4d และ 4.8d ตามลำดับ พอลองศึกษาดู ก็พบว่านับยากจริงๆ

เงินกระดาษ นั้นมีความเสี่ยง นั่นจึงเป็นเหตุผล ที่ผม หันมาสนใจ เล่นหุ้น และ ศึกษาการทำ ธุรกิจอื่นๆ เพื่อขึ้นด้วย เคยได้ยินว่า ยิ่งถือเงินสด ยิ่งจน เพิ่งมารู้สึกเมื่อเรามาตั้งบริษัท ผมเห็นได้ชัดเจนเลยว่า เงินสดมันหมดคุณค่าไวมาก ยิ่งคนเป็นหนี้สิน จากระบบสินเชื่อ คนยิ่งไขว่คว้าหาเงินสด ด้วยวิธีต่างๆ แม้แต่การขายตัว ตามแหล่งสถานเริงรมณ์ ทำให้กระแสเงินสดสะพัดไปเรื่อย มันก็เกิดการ Re-Invest. การลงทุนผลิตซ้ำ เงินที่ตีค่าในกระดาษ (Note) ที่วิ่งไปตามกระแสเงินสด ในเวลาที่ผ่านพ้นไป เราจะพบว่า ราคาสินค้า อุปโภค บริโภค ก็ทวีคูณสูงขึ้น ยิ่งในประเทศไทย เงินทุนหมุนเวียน หมุนกลับไปสู่นายทุน และ กลุ่มพ่อค้าขนาดใหญ่ และ ตัด Margin ไปเรื่อยๆ ให้ผู้บริโภค ใช้สินค้าอย่างรวดเร็ว ด้วยโปรโมชั่น และ การกระตุ้นการตลาด ด้วยสื่อสิ่งบันเทิง ในทุกช่องทาง ยิ่งในสมัยนี้ เราเข้าถึงสื่อได้โดยง่าย

เงินเฟ้อ และ เงินเฟียต

ในยุคต่อมา คนเริ่มใช้เหรียญน้อยลงเมื่อมีการใช้กระดาษเข้ามาทำหน้าที่แทนเงิน และคนก็มีความเชื่อว่า กระดาษคือเงินแล้ว วิวัฒนาการเพื่อเปลี่ยนความเชื่อทางสังคมเพื่อให้มูลค่าแตกละอย่างมีกลไกของมัน ซึ่งผมมองว่ามันต้องมาจากสมาคมและการจัดตั้งของรัฐบาลในแต่ละรัฐ การใช้กระดาษมาแทนที่เงิน ยิ่งทำให้สภาพคล่องนั้นสูงขึ้น ประเทศแรกที่ผมไปหาเจอก็คือประเทศจีน อย่างที่กล่าวไว้ในย่อหน้าก่อนนี้ ส่วนเรื่องเงินเฟียต ที่เราถืออยู่ทุกวัน คุณเชื่อหรือไม่ว่า เป็นกระดาษที่โดนผูกความเชื่อต่อๆกันมา แล้วเราก็ยังแบกรับปัจจัยความผันผวนของค่าของมัน และเราเองนั่นแหละที่แบกเราการอ่อนตัวและค่าเงินเฟ้าในมูลค่าหน้าแบงค์นั่นเอง ส่วนทรัพยากรณ์ที่มนุษย์ใช้แทนการแลกเปลี่ยนในยุคโบราณได้แก่ทองคำ ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนในสมัยก่อน เราก็ถูกสร้างให้มีความเชื่อว่า ทองคำ คือสิ่งมีค่าในยุคโบราณ เพราะเป็นโลหะที่มีความอ่อนนุ่มบริสุทธิ์ มีใครเคยตั้งคำถามไหมว่า ทองคำ จะมีวันหมดไปจากโลกใบนี้หรือไม่ ? และอนาคตมันจะมีมูลค่าสูงขึ้นไปถึงไหน แล้วมันจะตกมาเหลือ ไม่กี่ดอลล่าห์หรือไม่ ยิ่งคิด ก็ยิ่งวิตก แต่นักลงทุนคงพยายามสร้างข่าวเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับทองคำ และประเทศมหาอำนาจต่างก็ สะสมทองคำไว้เป็นการการันตีความมั่นคงของประเทศ ทองคำ เก็บไว้ในคลัง

ในปัจจุบันอย่างเหมืองทองคำเอกชน เช่น กลุ่ม ABX เป็นกลุ่มสมาคมขุดทอง เป็นสัดส่วนขนาดใหญ่ ของโลก ซึ่งกลุ่มประเทศที่ผูกขาดราคาทอง ที่ผมคิดถึงแรก ก็จะมี ออสเตรเลีย กับ รัสเซีย เนี่ยแหละ ส่วนจีนก็ไม่ใช่ย่อย มีแหล่งเหมืองแร่ทองคำจำนวนมาก พวกนี้ผูกขาดเหรียญทองคำแท้ โดยที่เรายังคงใช้เงินจาก มูลค่ากระดาษ ตีตราหน้าแบงค์ ผมมองว่าจุดนี้ เป็นปัจจัยเสี่ยว เพราะในแต่ละวัน หากคุณเอง เป็นผู้ศึกษา และ ลงทุนในหุ้น คุณจะรู้ความผันผวนของเศรษฐกิจและค่าของเงินอยู่แล้ว ส่วนใหญ่แล้ว กลุ่มที่เก็งกำไร ใน Forex ก็แทบจะต้องเล่นแบบ Day Trade กันเลยทีเดียว

เงิน Digital

ทีนี้เมื่อคุณเองได้แบกเอาเงินสดไว้ในกำมือและเต็มกระเป๋า เพื่อความสุขสบายกับการใช้จ่าย สิ่งต่อมาหากคุณตั้งข้อสังเกตหรือไหวตัวทัน คุณแทบจะไม่อยากถือเงินสดหรือมีเงินสดอยู่เต็มบัญชีธนาคารแน่ๆ เพราะในสังคมจริงๆ มีคนที่ผลิตเงินได้มากกว่าคุณอยู่จำนวนมาก พวกเขาต่างเอาเงินไปลงทุนสร้างระบบเล็กๆให้แก่ชีวิต และตอบแทนมาเป็นคุณค่าอะไรบางอย่างที่ให้ในอนาคต การมีเงิน ต้องเข้าใจเรื่องเวลา ถ้าคุณไม่เข้าใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงไปของเวลา คุณไม่ควรจะมีเงินเลย และเชื่อว่าผู้อ่านหลายคน อ่านแล้วก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เงินกับเวลามันสัมพันธ์กันได้อย่างไร ซึ่งส่วนตัวผมเองก็รู้สึกเช่นนั้นสมัยที่ยังเป็นวัยรุ่น แต่พอถึงวัยเสื่อมโทรม เรากลับมามองว่ากำลังผลิตที่ได้จากระบบจริงๆ และเงินที่เราได้มาจากระบบต่างหาก คือสิ่งที่เราต้องการ เราจึงเริ่มใช้เงินทำงานแทนเรา แม้จะน้อยนิด ในปัจจุบัน คนในสังคม IT ที่เป็นโปรแกรมเมอร์ นอกจากจะแอบไปซื้อคอนโดในทำเลดีๆแล้ว พวกเขาเริ่มทำเหมืองขุดเงิน Digital ที่เรียกว่า BitCoin แต่ในบทความนี้ผมจะไม่กล่าวถึงมันมาก เพราะไม่อยากให้คนหลุดประเด็นว่าผมจะชวนไปเทรดค่าเงิน BitCoin หรือชวนไปซื้อ การ์ดจอเพื่อทำการขุดเหมือง BitCoin อะไรแบบนั้น

รูปแบบทางการเงิน ที่เสมือนว่าจับต้องไม่ได้ แต่มีหลายคน จับต้องออกมาจนเป็นทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลแล้ว เพราะตามเกมส์ทัน เงินในรูปแบบใหม่นี้กลายมาเป็น ปรากฏการณ์ทางสังคม จริงจังขึ้นมาแล้ว ก็คือเงินในคอมพิวเตอร์ หรือเงินในโลกออนไลน์ นั่นเอง เป็นเพราะ ยุคสังคมของ Internet ที่เพาะบ่มคนเราตั้งแต่ปี 1996 เป็นต้นมา แล้วเราเริ่มใช้ Internet ในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ จวบจนมาในปีนี้ 2017 ก็ราวๆ 21 ปี วิวัฒนาการของสังคมได้ตอบรับ การเข้ามาของโลกออนไลน์มากยิ่งขึ้น เรื่องของ Internet มีหลายองค์กร พยายามสรรค์สร้างโลกนี้ให้เชื่อมต่อ เพื่อเกิดการ Trading ทั้ง Information และ Value ผ่านทางออนไลน์ ได้อย่ารวดเร็ว ประเทศไทย ก็โชคดีมากขึ้นเมื่อ 4G ทำงานได้ดีและราคาไม่แพงอย่างที่คิด
ส่วนในประเทศอเมริกา เนื่องจาก eSport นั้นเป็น emerging market หรือตลาดที่เกิดใหม่ โดยใน US. มีส่วนแบ่งตลาดของ แชร์อยู่ตั้ง 4% ของตลาด Video Game, DOTA 2 กลายเป็น eSport ที่ได้รับเงินสูงสุด เป็นรายบุคคล เป็นประวัติการ จำนวน 37 ล้านดอลล่าห์ สหรัฐ ในปี 2016

Flooz.com ซึ่งปัจจุบันได้ถูกระงับการใช้งานไปแล้ว (Defunct) จัดตั้งและเป็นเว็บออนไลน์ ในเมือง นิยอร์ค สหรัฐฯ ถูกโปรโมต โดยดาราหญิง ที่ชื่อว่า “Whoopi Goldberg” ที่เว็บนี้ ชื่อ Flooz เพราะว่า เอามาจากคำในภาษาอาราบิก (Fuloos) ที่มีความหมายว่า เงิน โดยเว็บนี้ ถูกใช้เป็นที่นิยมและแพร่หลาย ซึ่งเป็นยุคเริ่มต้น ของการใช้เงินออนไลน์ ตั้งแต่ปี 1999 ย้อนไปเกือบจะ 20 ปีเลยทีเดียว ตอนนี้ผมเห็นว่า ระบบเงินออนไลน์ ที่โจมตีเงินหลักๆของระบบรัฐบาล ก็จะมีเงินสกุลหลักที่ชื่อว่า BitCoin และมันมีแนวโน้มเติบโตขึ้น อย่างไม่จบไม่สิ้น คาดเดาอนาคตของมันได้ยากมาก

ส่วนการใช้งานของ ระบบเงินออนไลน์ หรือ Digital Money ในสมัยก่อน ที่เราพบ case ตัวอย่างนี้ คือการนำไปแลกคะแนนสะสม ที่เราเรียกมันว่า ระบบ Redeem มันเป็นตัวกลางของการแลกเปลี่ยน มูลค่าอะไรบางอย่าง เช่นแลกเป็นสิ่งของได้ แต่หลังจากนั้นไม่นาน มันได้ถูกตรวจจับได้ว่า มันเป็นตัวกลาง ของกิจกรรมที่มีความเป็น อาชญากรรมทางการเงิน และเป็นอาชญากรรมทางการเงินออนไลน์ โดยองค์กร Federal Bureau of Investigation ได้ตีความว่าเป็น crime syndicate โดยใช้รูปแบบของการขโมยเลขที่บัตรเครดิต ซึ่งการกระทำนี้ เข้าข่ายการฟอกเงินเลยทีเดียว

ที่เล่ามาทั้งหมด อยากให้เข้าใจ ว่าเงิน มาจากความเชื่อล้วนๆ ความเชื่อในการแลกเปลี่ยน คุณค่าของกันและกัน สิ่งที่มีคุณค่ามากๆสำหรับเรา อาจไร้ค่าสำหรับคนอื่น สิ่งที่เราทำให้คนอื่น อาจมีค่ามากๆสำหรับเรา ฉนั้น การจะกระทำสิ่งใดๆให้คนอื่น ให้มองที่คุณค่าของตนเองเป็นหลัก และอย่าถูกเงินครอบงำ ตอนหน้า จะเน้น เนื้อหา ทางเทคนิค ทางด้านการเก็งกำไร และ การโอนเงินระหว่างประเทศ ในรูปแบบร้านแลกเงิน  ที่ทำไม เขามีธุรกิจคู่ขนานที่ทำเงินได้เป็นวินาที และรูปแบบ ธุรกรรมของบัตรเครดิต และ นวตกรรมต่างๆ ของเรื่องเงิน มา ณ โอกาสหน้าครับ